เมื่อวันที่ 18 เมษายน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ทางการจีนเตรียมพิจารณาใช้บทลงโทษผู้กระทำผิดในคดีทุจริตรับสินบนที่มีเงินจำนวน 3 ล้านหยวน(ราว 16.8 ล้านบาท) หรือมากกว่านี้เข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วยมาตรการรุนแรงสูงสุดคือ ประหารชีวิต เป็นการส่งสัญญาณเอาจริงว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะเผชิญโทษประหารชีวิตจากการกระทำทุจริตฉ้อโกงชาติ
โดยศาลฎีกาประชาชนและสำนักงานอัยการของจีนระบุในวันเดียวกันนี้ว่า การรับสินหรือฉ้อโกงเงินจำนวน 3 ล้านหยวนหรือมากกว่านี้ นับเป็นมูลค่าที่สูงมาก การกระทำผิดในกรณีเช่นนี้จะเข้าข่ายได้รับโทษประหารชีวิต หากการกระทำของบุคคลเหล่านั้นเป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง ก่อผลกระทบต่อสังคมอย่างรุนแรง และสร้างความสูญเสียให้แก่ประเทศชาติและผลประโยชน์ของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม โทษประหารชีวิตจะยังคงเป็นหนึ่งในทางเลือกในบทลงโทษของศาลที่เหมาะสม ไม่ได้เป็นข้อบังคับที่จะต้องดำเนินบทลงโทษนี้ ซึ่งสำนักข่าวซินหัวของทางการจีนชี้ว่า บทลงโทษนี้มุ่งหมายที่จะลงโทษผู้กระทำทุจริตร้ายแรงภายใต้กรอบของกฎหมาย
ทั้งนี้ จีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้รณรงค์ปราบปรามการทุจริตอย่างหนัก โดยนายสีให้คำมั่นว่าจะพุ่งเป้าเอาผิดทั้ง “เสือ” ซึ่งหมายถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่ทรงอิทธิพล ไปจนถึง”แมลงวัน” เจ้าหน้าที่รัฐระดับล่าง หากกระทำทุจริต
จากการรณรงค์ปราบปรามการทุจริตดังกล่าว ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงในพรรคคอมมิวนิสต์ รัฐบาล กองทัพและรัฐวิสาหกิจในจีนหลายคนที่ถูกจับกุมดำเนินคดี ซึ่งรวมถึงนายโจว หยูคัง อดีตหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงของจีน ทว่ายังไม่มีเจ้าหน้าที่ในพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนใดที่ถูกลงดาบด้วยโทษประหารชีวิตจากการทุจริตเลยนับแต่นายสีรับตำแหน่งมา โดยผู้กระทำผิดมักจะได้รับการพักหรือเลื่อนโทษประหารชีวิตออกไป ก่อนที่ในที่สุดจะได้รับลดหย่อนโทษเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตดังเช่นกรณีของนายโจว และกรณีของนายหลิว จื้อจวิน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงกิจการรถไฟของจีนที่ได้รับการพักโทษประหารชีวิตในปี 2556 กรณีรับเงินสินบนจำนวน 60 ล้านหยวน ก่อนที่จะได้รับการลดโทษลงเหลือจำคุกตลอดชีวิตเมื่อปีที่แล้ว
