เลิกคิดตีเด็กได้แล้ว

ผ่านพ้นวันพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญมาสัปดาห์เศษ อีกสองวันคือวันวิสาขบูชา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน

ปกติวันพืชมงคลมักมีฝนตกลงมามากบ้างน้อยบ้าง แต่ปีนี้ไม่มีฝนตกลงมาสักแปะ อากาศยังร้อนอบอ้าว ไม่ทราบว่าถึงวันวิสาขบูชา จะมีฝนตกลงมาบ้างไหม ด้วยย่างเข้าสู่ต้นฤดูฝนแล้ว

โรงเรียนเปิดเทอมแล้ว ระบบการเรียนการสอนปีนี้น่าจะปรับเปลี่ยนไปจากปีก่อนๆ เพราะอุปกรณ์การเรียนการสอนไม่ได้มีอยู่เฉพาะในแบบเรียน ยังมีอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ที่นักเรียนสามารถเสาะหาความรู้ได้เอง

เรื่องของวิธีการเรียนการสอนว่ากันมานานหลายปีแล้ว แม้หลายโรงเรียนจะปรับเปลี่ยนวิธีการไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ยังปฏิบัติเช่นเดิมเหมือนที่ผ่านมา ทั้งที่ครูรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบการเรียนการสอนมาหลายปีแล้วเช่นกัน

Advertisement

คือครูรวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองยังลงโทษนักเรียนและบุตรหลานของตนด้วยการตี

ข้าพเจ้า(ผู้เขียน)บอกกล่าวมานานนมกาเลแล้วว่า “อย่าตีเด็ก”

วันนี้มีงานวิจัยออกมายืนยันอีกครั้ง โดยรองศาสตราจารย์เอลิซาเบธ เกอร์ชอฟฟ์ นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ครอบครัวและพัฒนาการมนุษย์ มหาวิทยาลัยเท็กซัส ร่วมกับรองศาสตราจารย์แอนดรูว์ โกรแกน-เคย์เลอร์ สำนักจิตวิทยาสังคม มหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา

Advertisement

จากการประมวลและวิเคราะห์ผลการศึกษาวิจัยเรื่อง “ยิ่งตีลูกยิ่งดื้อ” ในช่วง 50 ปี ใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กกว่า 160,000 คน พบว่า การตีลูกไม่เพียงไม่ส่งผลให้ลูกเชื่อฟังพ่อแม่มากขึ้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและจิตใจของเด็กในระยะยาวด้วย

ผลการวิจัยแจ้งว่า การตีเด็กด้วยมือก่อให้เกิดผลลบ 13 อย่างจากจำนวน 17 อย่าง ที่น่าสังเกตเป็นพิเศษ เด็กที่ถูกตีมีแนวโน้มกลายเป็นคนมีปัญหาด้านสุขภาพจิต มีลักษณะต่อต้านสังคมมากขึ้น

ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับผลงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่ชี้ว่า การตีเด็กส่งผลเชื่อมโยงไปถึงการที่เด็กรายหนึ่งมีระดับไอคิวต่ำ ระดับความก้าวร้าวสูง หดหู่ ซึมเศร้า กระวนกระวายและหวาดระแวง

ขณะที่ผลการศึกษาบางชิ้นจะแสดงให้เห็นว่า เด็กที่ถูกตีมีแนวโน้มจะเชื่อฟังมากขึ้นกว่าเดิม แต่เป็นเพียงระยะสั้น ระยะยาวเด็กจะยิ่งดื้อแพ่งมากขึ้นกว่าเพื่อนในระดับเดียวกันที่ไม่ถูกตี

แม้การตีเด็กจะเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานแล้ว แต่ข้อมูลการสำรวจล่าสุด อาทิ การสำรวจในสหรัฐอเมริกาเองของพิวรีเสิร์ชเซ็นเตอร์ เมื่อเดือนธันวาคม 2015 พบว่า 76% ของพ่อ กับ 65% ของแม่ชาวอเมริกัน ยังเชื่อว่าจำเป็นต้องตีลูกให้หนักๆ บ้างเป็นบางครั้ง

จากการสำรวจขององค์การยูนิเซฟเมื่อปี 2014 พบว่าพ่อแม่ 80% ยังใช้วิธีลงโทษลูกด้วยการตี

แล้วรู้ไหมว่าทำไมไม่ให้ “ตี” ไม่รู้หรือว่าเด็กเจ็บ แต่ไม่จำ สู้ลงโทษด้วยวิธีอื่นไม่ดีกว่าหรือ

วันก่อนมีการเผยแพร่ข้อความของ VIP-Groups.com ใน “ไลน์” เกี่ยวกับเด็ก ขอนำมาเสนอต่อ

“หากลูกของคุณโกหกบ่อย อาจเป็นเพราะคุณลงโทษเขามากเกินไป

หากลูกของคุณขาดความมั่นใจในตัวเอง อาจเป็นเพราะคุณไม่เคยให้กำลังใจเขา

หากลูกของคุณชอบลักขโมย อาจเป็นเพราะคุณไม่เคยสอนเขาให้รู้จักคำว่า “ให้”

หากลูกของคุณขี้ขลาด อาจเป็นเพราะคุณคอยแต่ปกป้องเขา

หากลูกของคุณโกรธง่ายตลอดเวลา อาจเป็นเพราะคุณไม่เคยชื่นชมเขาเลย

หากลูกของคุณเป็นคนงก ตระหนี่ อาจเป็นเพราะคุณไม่เคยแบ่งปันอะไรให้เขา

หากลูกของคุณอันธพาลชอบรังแกคนอื่น อาจเป็นเพราะคุณแสดงความรุนแรงก้าวร้าวให้เขาเห็น

หากลูกของคุณขี้อิจฉา อาจเป็นเพราะคุณเพิกเฉยไม่เอาใจใส่เขา

หากลูกของคุณมักสร้างความรำคาญใจต่อคุณ อาจเป็นเพราะคุณไม่เคยกอด ไม่เคยหอมเขา

ก่อนที่คุณจะทำอะไรกับลูก ลองหยุดคิดสักนิด แล้วทำอย่างมีสติ อ่านแล้วอย่าลืมแชร์ต่อนะคะ”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image