เปิดคำตัดสิน ยกฟ้องทีมยิงถล่ม “ขวัญชัย” ศาลชี้พยานหลักฐานขาดจุดเชื่อมโยง ยกประโยชน์ให้จำเลย

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ศาลจังหวัดอุดรธานีอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดอุดรธานี โจทก์ นายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา โจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง จ.ส.อ.หรือนายมาวิน ยางบัว จ.ส.ท.หรือนายวิโรจน์ พิมพ์สิงห์ ร.ต.หรือนายปรัชญา จันรอดภัย ส.อ.หรือนายชานนท์ ทับทิมทอง จ.ส.ท.หรือนายจุฑาทร เนียมทอง และนายมะดือ หรือมะตือนัง มะแซ จำเลยที่ 1-6 ฐานพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และ พ.ร.บ.อาวุธปืน

คำฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2557 จำเลยทั้ง 6 กับพวกอีก 1 คนที่หลบหนี ร่วมกันมีอาวุธปืนเล็กกล (เอเค 47) ขนาด 7.62 มม. 3 กระบอก และกระสุนปืนขนาด 7.62 มม. มากกว่า 43 ลูก อันเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนร่วมกันยิงโดยมีเจตนาฆ่านายขวัญชัย โจทก์ร่วม โดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากกระสุนถูกต้นแขนและขา ไม่ถึงแก่ความตาย แต่เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส เหตุเกิดที่บ้านพักใน ต.สามพร้าว อ.เมือง จ.อุดรธานี นอกจากนี้ นายขวัญชัย โจทก์ร่วม ขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวม 2,879,403 บาท จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า วันเวลาเกิดเหตุมีคนร้ายร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายขวัญชัย โจทก์ร่วม หลายนัด มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งหกเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดหรือไม่ จากคำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทุกปากและภาพจากกล้องวงจรปิดทุกจุดที่บันทึกไว้ ไม่สามารถยืนยันได้ว่ากลุ่มคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงนายขวัญชัย โจทก์ร่วมนั้นเป็นผู้ใด ไม่เห็นว่าจำเลยทั้งหกเป็นคนร้าย รถกระบะคันที่คนร้ายใช้ก่อเหตุขับมายิงนายขวัญชัย โจทก์ร่วม จากกล้องวงจรปิดที่บันทึกไว้ได้ และจากคำเบิกความของพยานไม่เห็นทะเบียนรถ รถกระบะคันดังกล่าวนั้นสภาพใช้กันอยู่ทั่วไปไม่ใช่รถแต่ง คดีนี้คงได้ความจากคำเบิกความของ พ.ต.ท.กิตติพงษ์ จิตรคาม เจ้าหน้าที่ตำรวจว่า น่าเชื่อว่าคนร้ายผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงนายขวัญชัย โจทก์ร่วม ขับรถกระบะสีบรอนซ์ทองออกมาจากเดอะบายพาสรีสอร์ต ช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. แต่เมื่อแคชเชียร์ของรีสอร์ตมาเบิกความว่า เห็นรถกระบะสีบรอนซ์ทองขับออกมาจากรีสอร์ตมีคนนั่งอยู่ท้ายกระบะ 1 คน มีถุงสีขาวเหมือนกระสอบที่ปลายกระสอบมัดปากไว้ แต่ได้เบิกความตอบคำถามค้านว่า วันที่ 22 มกราคม 2557 ที่บอกไปว่าเวลาประมาณ 10.00 น.นั้น ขณะนั้นไม่ได้ดูเวลาจากนาฬิกา เป็นการประมาณของพยานเอง ช่วงเช้าวันนั้นลูกค้าเช็กเอาต์ออกประมาณ 30 กว่าห้อง และมีลูกค้าเช็กอินเข้าใหม่ พยานทำอยู่คนเดียว เห็นรถกระบะสีบรอนซ์ทองชั่วพริบตาเดียวแล้วทำงานต่อ ย่อมแสดงให้เห็นว่ารถกระบะสีบรอนซ์ทองจะขับออกจากรีสอร์ตเป็นเวลาใดกันแน่ ยังเป็นข้อที่สงสัยตามสมควร และจะใช่รถกระบะคันที่วิ่งผ่านกล้องวงจรปิดตู้เอทีเอ็มธนาคารกสิกรไทยหัวมุมสี่แยกสามพร้าวหรือไม่

อีกทั้ง พ.ต.ท.กิตติพงษ์เบิกความตอบคำถามค้านว่า รถกระบะในกล้องวงจรปิดหน้าตู้เอทีเอ็มไม่สามารถระบุได้ว่าขับตรงไปเลี้ยวขวาหรือซ้าย กระบะท้ายมีคนนั่งอยู่ 2 คน ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นใคร ส่วนที่เบิกความว่า จะมีกลุ่มเฝ้าดูความเคลื่อนไหวโจทก์ร่วม จำเลยที่ 4 และ 5 จะพักที่ริมน้ำรีสอร์ต แต่พนักงานรีสอร์ตจำหน้าไม่ได้ พยานไม่ยืนยันภาพสเกตช์และภาพถ่ายในข้อมูลทะเบียนราษฎร บอกว่าไม่มั่นใจ จึงไม่ขอชี้ตัว รวมทั้งอาวุธปืนของกลางที่ใช้ก่อเหตุไม่สามารถยึดได้จากจำเลยทั้งหก

Advertisement

คดีนี้โจทก์และนายขวัญชัย โจทก์ร่วม คงมีแต่คำรับสารภาพของนายมะดือ จำเลยที่ 6 แต่ในชั้นพิจารณานำสืบปฏิเสธว่า ไม่ได้ให้การเช่นนั้นด้วยความสมัครใจ เจ้าพนักงานตำรวจข่มขู่ทำร้ายร่างกายให้รับสารภาพ เอาเอกสารมาให้ลงชื่อไม่ให้อ่าน เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบประกอบให้เห็นเช่นนั้น จึงทำให้ขาดจุดเชื่อมโยง พยานหลักฐานนำสืบมีความสงสัยตามสมควร ว่าจำเลยทั้งหกกระทำผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่านายขวัญชัย โจทก์ร่วมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งหก ส่วนจำเลยทั้งหกจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือไม่นั้น เมื่อจำเลยทั้งหกไม่ได้กระทำความผิด ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา รับฟังว่าจำเลยทั้งหกมิได้ร่วมกระทำละเมิดโจทก์ร่วม ไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้ยกคำขอ และพิพากษายกฟ้อง แต่ให้ริบอาวุธปืน ปลอกกระสุนปืน ลูกกระสุนปืน รองลูกกระสุนปืนและแกนลูกกระสุนปืนของกลาง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image