เมื่อเวลา 13.30 น. นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวปาฐกถา ในงาน “Krungsri Business Forum 2016 : Thailand? Opportunity” ที่โรงแรมเรเนซองส์ ว่า เศรษฐกิจโลกยังเประบาง ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือ แนวโน้มการชะลอตัวเศรษฐกิจจีน การลงประชามติว่าจะออกจากสหภาพยุโรปหรือไม่ รวมทั้งการดำเนินนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก เป็นต้น เพราะปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เกิดทำให้เกิดความผันผวนได้อีก แต่ตลาดเงินตลาดทุนของไทยได้รับผลกระทบที่จำกัด เพราะไทยมีฐานะการเงินแข้มแข็ง เงินสำรองระหว่างประเทศมีมูลค่า 3 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และมีมูลค่า 1.3 เท่าเมื่อเทียบกับต่างประเทศทั้งหมด ส่วนการถือครองพันธบัตรของชาวต่างชาติอยู่ในระดับต่ำเพียง 9% ส่วนประเทศอื่นภูมิภาคสูงถึง 30% ดังนั้น เรามีกันชนที่ดี แต่ไม่ควรชะล่าใจควรมีการบริการความเสี่ยง เพราะอาจมีความเสี่ยงทั้งสองด้าน
“ธปท.ใช้กรอบบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนแบบยืดหยุ่น เพื่อให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกันทั้งอุปสงค์และอุปทาน หากในกรณีที่ผันผวนรุนแรงจนเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวโดยรวม ธปท.จะเลือกใช้เครื่องมืออย่างเหมาะสมเพื่อลดความผันผวน ซึ่งการดำเนินนโยบายของธปท.จะเป็นแบบผ่อนปรนเพื่อช่วยเสริมการขยายตัวเศรษฐกิจและเก็บกระสุนไว้ใช้ยามจำเป็น” นายวิรไทกล่าว
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลพยายามสร้างการขยายการเติบโตเศรษฐกิจแบบยั่งยืน มีเสถียรภาพและมีคุณภาพ โดยที่ผ่านมามีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการต่าง ๆ โดยเป็นการเป็นผู้ลงทุนก่อน เพราะเอกชนยังขาดความเชื่อมั่นที่จะลงทุน อย่างไรก็ตามอยากให้เอกชนลงทุนตามมาซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังก็ขยายเวลาให้สิทธิประโยชน์ในการหักภาษี 2 เท่า ควรจะรีบลงทุน เพราะดอกเบี้ยก็อยู่ในระดับต่ำ และหลังจากนี้จะไม่ให้อีกแล้ว เพราะเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นน่าจะเพียงพอแล้ว ต่อไปต้องมีการปรับโครงสร้างเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
“รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งปีแรก หากช่วงครึ่งปีหลัง ไตรมาส 1-2 โครงการเมกะโปรเจคต่าง ๆ ของรัฐทยอยออกมา เอกชนก็ต้องเริ่มลงทุนแล้ว ไม่งั้นผมต้องจุดธูปจุดเทียนบนบานศาลกล่าวให้เศรษฐกิจโตได้มากกว่า 3%” นายสมชัยกล่าว
