ปรากฏตัวแล้ว! หลวงตาจันทร์ แจงปัดเอี่ยวซากเสือ ซัดกรมอุทยานฯใช้อำนาจเถื่อนบุกปล้น

วันที่ 9 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ นายอดิศร นุชดำรงค์ รองอธิบดีกรมอุทยานฯ นำกำลังเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ จากทั่วประเทศ เข้าดำเนินการเคลื่อนย้ายเสือโคร่งจำนวน 137 ตัว จากวัดป่าหลวงตามหาบัว จ.กาญจนบุรี ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค.59 จนถึงวันที่ 4 มิ.ย. 59 รวมระยะเวลา 6 วัน และยังพบซากเสือกว่า 40 ตัว รวมถึงซากสัตว์ป่าและลูกเสือดองโหลหลายขวดนั้น

ล่าสุด เมื่อเวลา 09.00 น. ทนายความมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน แจ้งว่า พระวิสุทธิสารเถร หรือหลวงตาจันทร์ เจ้าอาวาสวัดป่าหลวงตาบัวญาณสัมปันโน ประธานมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน จะมาแถลงข่าวที่ศาลาหน้าประตูทางเข้าวัด ขณะที่ทางวัดได้เตรียมเครื่องเสียงมาตั้งไว้ที่บริเวณหน้าประตู และไม่อนุญาตให้บุคคลใดผ่านเข้าไปในเขตพื้นที่วัด โดยปิดประตูไว้พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ของวัดเฝ้าอยู่ตลอดเวลา แต่จะอนุญาตให้คนของวัดเข้า-ออกเท่านั้น ขณะที่ทางวัดได้สั่งคนมาบันทึกภาพผู้สื่อข่าวไว้ด้วย

201606091640043-20021028190336

จนกระทั่งเวลา 09.30 น. หลวงตาจันทร์ได้นั่งรถกอล์ฟบริเวณเบาะนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับ โดยขับออกมาจากพื้นที่ด้านใน และขับผ่านบริเวณด้านหลังของประตูที่ถูกปิดไว้ จากนั้นได้ขับวนไปให้อาหารวัว ควาย และกลับเข้าไปพื้นที่ด้านในตามเดิม โดยไม่พูดจาใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ เข้าทำการขนย้ายเสือของกลาง 137 ตัว

Advertisement

จากนั้น นายศิริ หวังบุญเกิด อดีต ส.ส.กทม. พรรคไทยรักไทย อดีตกรรมการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอนุกรรมการสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เป็นตัวแทนพระวิสุทธิสารเถร พร้อมด้วย นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ได้ร่วมกันแถลงข่าวพร้อมกับระบุว่า พระอาจารย์อาพาธเป็นโรคหัวใจ ไม่สะดวกที่จะออกมาพบ

นายศิริกล่าวว่า จากการที่มีข่าวออกไปว่าวัดเป็นสถานที่ค้าสัตว์ป่า ทำให้สังคมมองว่าวัดเป็นเหมือนซ่องโจร ซึ่งไม่เป็นความจริง แท้ที่จริงมีเรื่องของการเมืองเข้ามาแทรก และพยายามโยนความผิดให้พระอาจารย์ ซึ่งพระอาจารย์ไม่ได้เป็นผู้บริหาร การบริหารงานทั้งหมดเป็นเรื่องของมูลนิธิวัดป่าหลวงตาบัวฯ

นายศิริ กล่าวอีกว่า เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจาก นายสัตวแพทย์ สมชัย วิเศษมงคลชัย อดีตนายสัตวแพทย์ผู้ดูแลเสือของกลาง ซึ่งทำหน้าที่ดูแลเสือมาเป็นระยะเวลารวม 17 ปี พระอาจารย์เป็นเพียงผู้อนุเคราะห์ให้สถานที่ แล้วให้อาหารเท่านั้น โดยเรื่องมาจากการร้องเรียนของ นายสัตวแพทย์สมชัย กรณีเสือหายออกไปจากวัด 3 ตัว โดยมีผู้นำไมโครชิพมาให้ นายสัตวแพทย์สมชัย ซึ่งหากนำไมโครชิพที่ฝังไว้ที่ตัวเสือทั้ง 3 ตัว ออกมาได้ แสดงว่าเสือต้องตาย ปรากฏว่ากรมอุทยานฯ รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าว และจะเข้ามาจับกุมพร้อมทั้งยึดเสือ ทั้งๆ ที่เสือของกลางที่ฝากเลี้ยงไว้ที่วัด เป็นทรัพย์ของแผ่นดิน เป็นเสือที่ถูกต้องตามกฎหมาย

Advertisement

“การที่กรมอุทยานฯ นำหมายค้นมาค้นวัดแห่งนี้ เป็นการค้นและจับเสือซึ่งเป็นทรัพย์สินของตัวเอง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 แต่กรมอุทยานฯ นำกำลังมาบังคับยึดเสือไป ซึ่งกรมอุทยานฯ ไม่มีอำนาจที่จะกระทำการดังกล่าว ที่จริงเป็นอำนาจของศาลที่จะเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย ซึ่งเรื่องยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ฉะนั้นการกระทำของกรมอุทยานฯ จึงไม่ต่างกับคดีบาร์เบียร์” นายศิริ กล่าว

 

ต่อกรณีพบซากเสือ ลูกเสือดองนั้น นายศิริระบุว่า พระไม่สามารถทำได้ มีเพียงสัตวแพทย์เท่านั้นที่ทำได้ ส่วนเครื่องรางของขลังจากชิ้นส่วนเสือ ทางวัดไม่เคยทำพิธีพุทธาภิเษก และไม่เคยนำไปจำหน่ายแต่อย่างใด ส่วนเสือที่เกิดหรือตาย ทางพระอาจารย์เพียงรับทราบตามที่มีผู้รายงานเท่านั้น ส่วนจะแจ้งให้กรมอุทยานฯ หรือไม่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระอาจารย์ ส่วนเครื่องรางของขลังที่ทำจากชิ้นส่วนเสือ คนที่อยู่ที่วัดเป็นผู้ทำ ซึ่งเป็นเรื่องของกฎหมายที่จะดำเนินการกับผู้กระทำการดังกล่าว ทั้งนี้ กรมอุทยานฯ ควรรอให้ศาลบังคับคดีว่าต้องจ่ายหรือไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับทางวัดที่เป็นผู้เลี้ยงดูเสือของกลางที่ทางกรมฝากเลี้ยง จากนั้นจึงจะเข้ามาขนย้ายออกไป ถึงจะถูกต้อง ไม่ใช่ใช้กำลังมาบังคับ ดังนั้นการดำเนินการขนย้ายเสือของกรมอุทยานฯ ในครั้งนี้ จึงเสมือนเป็นการปล้นเสือจากวัดไป

“กรณีที่เกิดขึ้นกับวัดเป็นความร่วมมือระหว่างนายสัตวแพทย์และกรมอุทยานฯ ในการทำลายวัดแห่งนี้ โดยมีองค์กรต่างชาติให้การสนับสนุน เพื่อนำเสือไปจัดแสดงให้บริการแก่นักท่องเที่ยว” นายศิริ กล่าว

ด้านนายสายหยุด ได้ตอบคำถามสื่อกรณีพบซากเสือ ตะกรุดหนังเสือว่า ของทั้งหมดไม่ใช่ของหลวงพ่อแต่เป็นของคนที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้ 2 คน และผู้ที่ถูกจับกุมก็เป็นคนทำขึ้นมาเอง โดยเก็บไว้ในห้องพักของตนเอง แต่เมื่อมีคณะเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจค้นก็เลยเกิดความกลัวความผิด จึงได้ขนย้ายไปเก็บไว้บนกุฏิของหลวงพ่อ เพราะคิดว่าเจ้าหน้าที่คงไม่กล้าขึ้นไปตรวจค้นบนกุฏิ

ต่อประเด็นคำถามของผู้สื่อข่าวที่ว่า การบริหารงานของ วัดฯ มูลนิธิฯ และบริษัทฯ เกี่ยวข้องกันหรือไม่ อย่างไรนั้น “ไม่ขอชี้แจงในเรื่องนี้” นายสายหยุด กล่าว

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image