‘บิ๊กต๊อก’ พูดชัด ใครขวางจับ ‘พระธัมมชโย’ เจอ ม.189 ดำเนินคดี – ตามจับถึงบ้าน

“บิ๊กต๊อก” พูดชัด ใครขวางจับ “พระธัมมชโย” เจอ ม.189 ดำเนินคดี – ตามจับถึงบ้าน

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว กรุงเทพฯ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ประชุมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (บช.ภ.1) ถึงแผนการดำเนินการตรวจค้นและจับกุมพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา ว่า สำหรับประเด็นที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จะเดินทางไปขอหมายค้น ตนยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวน ซึ่งหลังจากนี้เขาคงจะมารายงานเรื่องดังกล่าวให้ตนทราบ ส่วนกรณีที่โต๊ะเจรจา 3 ฝ่าย ซึ่งประกอบด้วย ดีเอสไอ ทนายตัวแทนวัดพระธรรมกาย และเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ได้ประกาศยุติการเจรจาเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น ตนพูดมาตลอดว่า เราพยายามทำมาทุกทาง เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยมากที่สุด เมื่อมีการยุติการเจรจาเราก็ไม่สามารถไปบังคับอะไรได้ แต่กระบวนการทางกฎหมายไม่สามารถยุติได้ ก็ต้องดำเนินการต่อไป

พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินการของแผนกบิล 59 นั้น รายละเอียดขณะนี้ตนยังไม่ทราบ เพียงแต่ทราบจากสื่อมวลชนที่มีการเผยแพร่ข่าวเท่านั้น ซึ่งตนยังไม่ทราบเลยว่า กบิล มาจากอะไร หรือที่แปลว่า ลิงใช่หรือไม่ ซึ่งตนทราบเพียงว่า ดีเอสไอจะเดินทางไปประชุมร่วมกับตร.เท่านั้น เพราะต้องใช้หน่วยงานที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ซึ่งก็เป็น บช.ภ.1 ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อดำเนินการทุกอย่างให้เรียบร้อยที่สุด ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่มีความพร้อมทั้งหมดแล้ว ก็คงจะดำเนินการเข้าตรวจค้นทันที ส่วนจะเป็นวันที่ 17 มิ.ย.นี้ ตามที่ได้มีการเสนอข่าวหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ ทั้งนี้ สิ่งที่เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการคือจับกุมผู้ต้องหา ซึ่งมันเป็นหน้าที่ของเขา

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากการเข้าตรวจค้นครั้งนี้ ไม่สามารถเข้าไปภายในวัดพระธรรมกายได้ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ตนพูดทุกครั้งว่า ถ้าเข้าไปแล้วมีเรื่องจะเข้าไปทำไม แต่ถ้าไม่เข้าไปแล้วจะได้ตัวผู้ต้องหาได้อย่างไร พร้อมกับย้อนถามผู้สื่อข่าวว่า และคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าจะเกิดอะไร ซึ่งพล.อ.ไพบูลย์ ระบุว่า ก็ไม่มีใครรู้สักคนว่าจะเกิดอะไร แต่ถ้าเห็นว่ามันจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีก็อย่าให้มันเกิดขึ้น ดังนั้น ก็ต้องไปบอกกับศาลและอัยการว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะเรื่องมันอยู่ที่อัยการแล้ว แต่เราก็ต้องทำไปก่อน และถ้าเขาถามว่าทำไมไม่เอาตัวมา ต้องมีตัวผู้ต้องหาตามกฎหมายอาญา ก็ต้องบอกเขาไปว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งสังคมไทยก็จะรับรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของพนักงานสอบสวน มันเป็นเรื่องที่เราไม่อยากให้เกิดบานปลายขึ้น หากเกิดปัญหาก็ไม่ต้องเข้า ถ้าเข้าไปและมันมีความสูญเสียมากกว่าจะเข้าไปทำไม ก็ฟ้องไป ก็ไปจับกันอยู่เรื่อยๆ

Advertisement

“หากมีใครขัดขวางการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ก็มีกฎหมาย มาตรา 189 ก็ทำไป ก็ถ่ายรูปมา และมาตามจับกันทีหลัง ซึ่งก็ต้องพูดตรงๆ อย่างนี้ ก็ไปถ่ายรูปถ่ายอะไรมาว่าคนขวางมันหน้าตาเป็นอย่างนี้และก็มาจับกันทีหลัง ตามจับทั้งหมดนั่นแหละ ซึ่งผมและอธิบดีดีเอสไอก็ประกาศไปแล้วว่าใครขัดขวางก็มีมาตรา 189 กลับบ้านเมื่อไหร่ก็ไปจับที่บ้าน หากใครขวาง เจอกลางทางก็จับกลาง ตามจับกันไป และก็ฟ้องศาล ส่งอัยการเป็นอีกคดีหนึ่งขึ้นมาจะให้ลามๆ ไปหลายคดี หรือไม่อย่างไร” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว

พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาก็พยายามหลีกเลี่ยงและก็พูดมาเสมอว่า อย่าไปเปิดประเด็นให้มากกว่านี้ และมันจะกลายไปเป็นคนละเรื่องละราว ควรมาพูดจากัน ซึ่งพนักงานสอบสวนก็พยายามใช้หลายๆ ทาง ทั้งทางผู้ปกครองสงฆ์ หรือทนายความ และวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่พนักงานสอบสวนต้องทำตามกฎหมาย มันก็จะผูกมัดผู้ต้องหาเอง ซึ่งมันก็จะเขม็งเกลียวไปเรื่อยๆ และจะไม่มีทางคลี่คลายได้ ซึ่งการกระทำตั้งแต่มีหมายเรียก และหากผู้ต้องหามามันก็จบแล้ว โดยพนักงานสอบสวนก็บอกแล้วว่าให้ประกันตัวได้ จนกระทั่งมันผ่านมาเรื่อยๆ และตนเริ่มมองเห็นถึงการคัดค้านการประกันตัว หากติดคุกก็ต้องถอดผ้าเหลือง ซึ่งมันก็ต้องไปถึงขนาดนั้น ถ้าพนักงานสอบสวนเข้าได้ตัวผู้ต้องหา อย่างไรก็ตาม ตนยังไม่ทราบว่าพนักงานอัยการจะมีความเห็นสั่งฟ้องในคดีดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งเท่าที่ทราบทางพนักงานอัยการขอเวลาในการพิจารณาสำนวนอีก 1 เดือน ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องของอัยการ ซึ่งอาจจะมีการสั่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบปากคำเพิ่มเติมก็ได้ โดยทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image