เจาะลึก “2 เอสยูวี” แดนปลาดิบ “ซีเอ็กซ์-5” ปะทะ “ฟอเรสเตอร์”

เจาะลึก "2 เอสยูวี" แดนปลาดิบ "ซีเอ็กซ์-5" ปะทะ "ฟอเรสเตอร์"

เจาะลึก “2 เอสยูวี” แดนปลาดิบ “ซีเอ็กซ์-5” ปะทะ “ฟอเรสเตอร์”

ตลาดรถยนต์เมืองไทยกลับมามีชีวิตชีวามากขึ้น เมื่อยอดขายเริ่มบวกจากที่ต้องติบลบมายาวนานเหลือเกิน

โดยเฉพาะตลาดรถกลุ่มปิกอัพดัดแปลง หรือ “พีพีวี” (PPV – Pick up Passenger Vehicle) ที่เติบโตเกือบเท่าตัว

อีกหนึ่งตลาดที่ถือว่ามาแรงไม่น้อยคือกลุ่ม “เอสยูวี” (SUV – Sport Utility Vehicle) ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ที่โตสวนตลาดเมืองไทย

ก่อนหน้านี้จะเป็นประเภทขนาดเล็ก หรือ “ซับคอมแพกต์ เอสยูวี” เด่นๆ เช่น “ฮอนด้า เอชอาร์-วี” หรือ “มาสด้า ซีเอ็กซ์-3” ราคาไม่ถึงล้าน หรือล้านนิดๆ

Advertisement

ส่วนตลาดพี่ใหญ่คือกลุ่ม “คอมแพกต์ เอสยูวี” ราคาหลักล้านกลางๆ ก็เติบโตได้น่าสนใจ

แน่นอนว่าเบอร์ 1 ของตลาดไม่พ้น “ฮอนด้า ซีอาร์-วี” ที่ลอยลมบนครองแชมป์มายาวนานนับสิบปีแล้ว เนื่องจากทั้งการออกแบบสวยงาม และเป็นแบรนด์ยอดนิยม

แต่กับระดับรองๆ ลงมานี่แหละ บู๊กันสนุกเหลือเกิน

Advertisement

ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามี 2 รถที่ออกมาประชันกัน

แถมเป็นมวยที่ “ถูกคู่” อย่างมาก เพราะเป็นรถที่เปิดตัวออกมาพร้อมๆ กันเมื่อปี ค.ศ.2012 แถมล่าสุดยัง “ไมเนอร์เชนจ์” หรือปรับโฉมออกมาในเวลาไล่เลี่ยกันอีก

หนึ่งนั้นคือ “ซูบารุ ฟอเรสเตอร์”

หนึ่งคือ “มาสด้า ซีเอ็กซ์-5”

ทั้ง 2 ค่ายโดดเด่นในเรื่องเครื่องยนต์ และความเนี้ยบของช่วงล่าง ที่ถูกจัดให้เป็นเบอร์ต้นๆ ของรถจากแดนปลาดิบ

แม้โดยแบรนด์รอยัลตี้ในเมืองไทย มาสด้าดูจะเหนือกว่าทั้งความนิยมและยอดขาย

แต่ค่าย “ดาวลูกไก่” ก็มีแฟนานุแฟนที่เหนียวแน่น แถมในหลายปีหลังรุกหนักการตลาดและขยายโชว์รูมมากขึ้นเรื่อยๆ พลอยทำให้ยอดขายดีวันดีคืน

อย่างกระนั้นเลย ขอจับมวยคู่นี้มา “เวอร์ซัส” (VS) หรือปะทะ กันเสียหน่อย

cx-5

“ซีเอ็กซ์-5” ถือเป็นรถรุ่นประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของมาสด้า เนื่องจากเป็นรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยี “สกายแอ๊คทีฟ” และออกแบบสวยหยดย้อยภายใต้แนวคิด “โคโดะ ดีไซน์” กลายเป็นปฐมบทความสำเร็จอย่างยิ่งของรถยนต์มาสด้าในรุ่นต่อๆ มา

รุ่นนี้เข้ามาทำตลาดแทนรุ่น “ทริบิวต์” และ “ซีเอ็กซ์-7”

ใช้เวลาเพียง 3 ปีเศษๆ มียอดผลิตทั่วโลกเกิน 1 ล้านคันไปเมื่อปีที่แล้ว

รุ่นล่าสุดยังมีจุดเด่นที่กระจังหน้าห้าเหลี่ยมขนาดใหญ่ สไตล์การออกแบบของมาสด้าในช่วงหลังๆ ไฟหน้าแบบ Adaptive LED Headlamp ดีไซน์ใหม่มีลักษณะคล้ายตาของสัตว์ที่จ้องมองในยามค่ำคืน พร้อมระบบปรับองศาอัตโนมัติตามการเลี้ยว พร้อมไฟ DAYTIME RUNNING LAMP

ต่ำลงมาเป็นไฟตัดหมอก ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่

ภายในเน้นความสปอร์ตมากขึ้นโดยใช้โทนดำตัดกับสีเงินในบางจุด

พวงมาลัย 3 ก้าน พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น เรือนไมล์แบบ 3 วงกลม แผงคอนโซลหน้า คอนโซลกลาง และแผงประตู ออกแบบใหม่ เพิ่มวัสดุมันวาวทั้งสีเงินและสีดำมากขึ้น

เบาะนั่งปรับไฟฟ้าพร้อมบันทึกความจำ ส่วนแถวหลังสามารถแยกพับได้ 3 ส่วน ตามการใช้งาน

จอ Touch Screen ขนาด 7 นิ้ว โดดเด่นอยู่กลางคอนโซลหน้า แสดงเมนูสั่งงานของระบบ “MZD CONNECT” และแสดงผลฟังก์ชั่นใช้งานอื่นๆ สามารถข้อมูลผ่านระบบสั่งการด้วยเสียง Voice Recognition

หรือจะใช้ผ่านปุ่ม “Center Commander” บริเวณคอนโซลกลางหลังเกียร์ เชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ และความบันเทิงต่างๆ ผ่านระบบเสียงไฮเอนด์จาก BOSE พร้อมลำโพง 9 ตำแหน่ง

เสริมความสบายด้วยเบรกมือไฟฟ้า และสนุกมากขึ้นกับโหมดการขับขี่แบบสปอร์ต

เครื่องยนต์มีให้เลือก 2 บล็อก “สกายแอ๊คทีฟ-จี” เบนซิน 2.0 ลิตร ระบบฉีดน้ำมันตรงเข้าห้องเผาไหม้ พร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่อัจฉริยะ Dual-S-VT ให้กำลังสูงสุด 165 แรงม้า แรงบิด 210 นิวตัน-เมตร เติมน้ำมันได้สูงสุดถึง “อี 85”

ส่วนอีกบล็อกเป็น สกายแอ๊กทีฟ-ดี คลีนดีเซล 2.2 ลิตร เทอร์โบชาร์จเจอร์และอินเตอร์คูลเลอร์ ระบบวาล์วไอเสียแปรผัน VVL (Variable Valve Lift) ให้กำลังสูงสุด 175 แรงม้า แรงบิดมหาศาลถึง 420 นิวตัน-เมตร ตามสไลต์รถดีเซล

ทั้ง 2 บล็อกทำงานคู่กับระบบเกียร์ 6 สปีด SKYACTIV-DRIVE

อีกจุดเด่นคือมาตรฐานความปลอดภัยที่ใส่เข้ามาแบบไม่อั้น อาทิ ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน, ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติด้านหน้าเมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ, ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง, ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน และถอยหลัง ฯลฯ

มิติตัวถัง (กว้าง x ยาว x สูง) 1,840 x 4,540 x 1,710 ม.ม. ฐานล้อ 2,700 ม.ม.

มีให้เลือก 4 รุ่นย่อย โดยเครื่องเบนซิน 2 รุ่น ราคา 1,220,000-1,330,000 บาท

ส่วนเครื่องดีเซล ราคา 1,530,000-1,690,000 บาท

forester

ส่วนคู่เวอร์ซัสอย่าง “ฟอเรสเตอร์” ต้องบอกว่าไมเนอร์เชนจ์ครานี้พี่จัดหนัก เพราะนอกจากจะเปลี่ยนแบบบิ๊กไมเนอร์เชนจ์แล้ว ราคายังถูกกว่าเดิมอีกต่างหาก

ทั้งๆ ที่ปกติแล้วรุ่นไมเนอร์เชนจ์นั้น อย่างน้อยก็ต้องปรับขึ้นหลักหมื่นหรือหลักแสน

แต่สำหรับฟอเรสเตอร์ ถูกกว่ารุ่นเดิม เพราะเปลี่ยนการนำเข้าจากญี่ปุ่นมาเป็นมาเลเซีย เพื่อใช้สิทธิภาษีจาก “เออีซี” นั่นเอง

รุ่นนี้ยังอยู่ในเจเนอเรชั่นที่ 4 เริ่มทำตลาดโลกมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2012 เมื่อ 2 ปีก่อนปรับโฉมไปแล้วรอบหนึ่ง

โดยรุ่นล่าสุดปรับรูปแบบกระจังหน้าใหม่ ระบบไฟหน้าโปรเจ็กเตอร์ LED ปรับองศาตามการเลี้ยว และเปิด-ปิดอัตโนมัติ ไฟท้ายใหม่ พร้อมสปอยเลอร์หลัง-ไฟเบรก และล้อลายใหม่ขนาดบิ๊ก 18 นิ้ว หลังคาเจาะซันรูฟมาให้ด้วย

ส่วนภายในถือว่าปรับค่อนข้างเยอะใช้โทนสีดำ พวงมาลัยหนังพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น และปุ่มเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย เบาะนั่งปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ ส่วนเบาะหลังพับได้แบบ 60:40

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา ชุดจอแสดงผลแบบ LED ชุดเครื่องเสียงไฮเอนด์ Harman/Kardon ลำโพง 8 ตัว ปิด-เปิดประตูท้ายอัตโนมัติ ทั้งยังเพิ่มความสบายหูให้ห้องโดยสารเพราะเพิ่มฉนวนกันเสียงแบบใหม่ และเพิ่มความหนาของกระจก

เครื่องยนต์ซึ่งเป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์ของซูบารุคือ “บ็อกเซอร์” (Boxer) มีให้เลือก 2 บล็อก คือ 4 สูบ 16 วาล์ว รุ่น FB 20 ความจุ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า

อีกบล็อกติดตั้งในตัวท็อป บ็อกเซอร์ ไดเร็กต์-อินเจ็กชั่น เทอร์โบ จัดม้ามาให้หนักๆ 241 แรงม้า

ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 6 จังหวะพร้อม “เอ็กซ์-โหมด” (X-Mode) เพิ่มประสิทธิภาพเมื่อขับบนทางวิบาก ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบอัตโนมัติ “ออลวีลไดรฟ์” (AWD)

ระบบความปลอดภัยไม่แพ้คู่ชนอย่างซีเอ็กซ์-5 แน่นอน

ขณะที่ช่วงล่างขึ้นชื่อเรื่องระดับ “เทพ” อยู่แล้ว รุ่นนี้ระบบกันสะเทือนอิสระพร้อมเหล็กกันโคลงทั้ง 4 ล้อ ด้านหน้าแม็กเฟอร์สัน ด้านหลังปีกนก 2 ชั้น

มิติตัวถัง (กว้าง x ยาว x สูง) 1,795 x 4,595 x 1,735 ม.ม. ฐานล้อ 2,640 ม.ม.

มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ราคา 1,398,000-2,290,000 บาท

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image