ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
เผยแพร่ |
ความคึกคักแห่งบรรยากาศการทำ ”ประชามติ” ของสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง
หลายคนบังเกิดนัยประหวัดถึง ”ประชามติ” ในเมียนมาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2551
เป็นประชามติว่าจะ ”รับ” หรือ ”ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญซึ่งกลายมาเป็นรัฐธรรมนูญแห่งสหภาพเมียนมา พ.ศ.2551 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน “อันหนังสือ ความมั่นคงโลก:การเมืองและการทหารในโลกที่เปลี่ยนแปลง” ของ สุรชาติ บำรุงสุข ระบุว่าเป็นไปตาม ”โรดแมปสู่ประชาธิปไตย” ของผู้นำทหาร
กระนั้นก็กล่าวด้วยว่า เป็นความพยายามสร้างความเข้มแข็งให้แก่รัฐบาลทหารมากกว่าจะนำไปสู่การสร้างประชาธิปไตย
และปรากฏการณ์นี้ก็ถูกตอกย้ำอย่างชัดเจนจากการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 พฤษภาคม 2551 ที่ผู้นำพรรคฝ่ายค้านถูกขจัดออกไปจากเวทีทางการเมือง และอำนาจก็ถูกรวบอยู่ในมือของผู้นำทหารอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
ผลก็คือ ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติด้วยคะแนนมากกว่าร้อยละ 90 แต่ก็เป็นร้อยละ 90 อันมากด้วยตำหนิ ไฝฝ้าและราคีคาวจากอำนาจอันฉ้อฉลแห่งเหล่า JUNTA
ต่างไปจาก ”ประชามติ” อันเปี่ยมด้วย ”ประชาธิปไตย” ของสหราชอาณาจักร
บทความของ ดุลลภาค ปรีชารัชช ที่ปรากฏผ่านเว็บไซต์ประชาไทเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ให้ภาพของประชามติ สกปรก เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2551 ได้อย่างเป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่อนที่ว่า
คนพม่าจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่สบายใจและออกมาต่อต้านรัฐธรรมนูญฉบับ 2551 ที่ถูกร่างขึ้นโดยสภาพัฒนาและสันติภาพแห่งรัฐ (SPDC)
แต่ท้ายที่สุดรัฐบาลทหารพม่าก็จัดให้มีการลงประชามติเพื่อให้ประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญ อันเป็นประชามติที่ถูกกล่าวถึงหนาหูว่าเต็มไปด้วยกลโกงสารพัดชนิด เช่น การให้เจ้าหน้าที่ทหาร/ตัวแทนรัฐ ยืนประกบหีบบัตรคะแนนเพื่อกำกับผู้ใช้สิทธิให้โหวต ”YES”
หรือการให้ผู้ใช้สิทธิส่วนหนึ่งลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญแทนญาติพี่น้องที่มีชื่อตกหล่นในทะเบียนราษฎร
จนท้ายสุด แม้จะมีการให้ตัวเลขจากทางการว่ามีประชาชนพม่าออกมาลงคะแนนโหวต ”YES” จำนวนมาก แต่ควันหลงเรื่องกลโกงและกระแสต้านรัฐธรรมนูญที่ยังตกอยู่ใต้อิทธิพลกองทัพก็ยังปรากฏมีให้เห็นเป็นระลอกตลอดช่วงต้นสมัยบริหารราชการแผ่นดินของ ประธานาธิบดี เต็งเส่ง นั่นก็คือ ความไม่พอใจต่อ ร่าง รัฐธรรมนูญของเหล่า JUNTA แห่งเมียนมา
นั่นก็คือ ”ประชามติ” อันเต็มไปด้วย “กลโกง” ของ JUNTA แห่งเมียนมาที่ต้องการต่อท่อในการสืบทอดอำนาจ
ยิ่งการลงประชามติเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่สหราชอาณาจักรเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งประชาธิปไตย ”อารยะ” ที่มีความเป็น ”สากล” มากเพียงใด
ประชามติ “ร่างรัฐธรรมนูญ” เมื่อปี 2551 ของเมียนมายิ่ง ”ฉาวโฉ่ ”
ความฉาวโฉ่จากการทำประชามติ ”ร่างรัฐธรรมนูญ” ในลักษณะมัดมือชก ปิดประตูตีแมวและตั้งใจ ”โกง” อย่างหน้าด้านๆ ของรัฐบาลทหารเมียนมานั้นเองที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาโต้กลับในกาลต่อมา
นางออง ซาน ซูจี ซึ่งเหยียบแผ่นดินไทยระหว่างที่ 23-25 มิถุนายน ย่อมรู้อยู่แก่ใจและยากที่จะลืมเลือนอย่างง่ายดาย
“ร่างรัฐธรรมนูญ” อาจเป็นเครื่องมือสำคัญใน ระยะเปลี่ยนผ่าน
กระบวนการในการทำประชามติที่เริ่มต้น ”โกง” ตั้งแต่การกำหนดกฎกติกาในลักษณะกีดกันพรรคฝ่ายค้าน และแสดงอำนาจบาตรใหญ่ต่อประชาชน
มีแต่รัฐบาลทหารเท่านั้นที่เคลื่อนไหว รณรงค์ได้ มีแต่ฝ่ายเดียวกันกับรัฐบาลทหารเท่านั้นที่ออกโรงชี้แจงแสดงข้อดี ความยอดเยี่ยมของร่างรัฐธรรมนูญได้
เหมือนกับเป็น ”ผลดี” แต่ในระยะยาวกลับกลายเป็น ”ผลเสีย”
บทบาทของเหล่า JUNTA แห่งเมียนมาที่แสดงออกผ่าน ”ร่างรัฐธรรมนูญ” โดยกระบวนการ “ประชามติ” เท่ากับยืนยันสัจจะในทางประวัติศาสตร์ที่ว่า
”งาช้าง” ไม่สามารถงอกจากช่องทางอื่นได้
เผด็จการไม่สามารถสถาปนารัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยได้อย่างเด็ดขาด ประชามติไม่ปรากฎขึ้นอย่างสง่างามในบรรยากาศที่ไม่เอื้ออำนวย
เมียนมาที่นางออง ซาน ซูจี ประสบมา คือตัวอย่างอันเด่นชัด