ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | นริศา ดินแผ่น และอรอุมา นนทเดชะ |
เผยแพร่ |
ปิดประตูป้อมค่ายและหอรบไปชั่วคราวหลังยื่นคำฟ้องกรุงเทพมหานคร (กทม.) และคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ฯ ที่ศาลปกครองกลางไปเมื่อ 29 เมษายน
ในวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา “ชุมชนป้อมมหากาฬ” ก็เปิดบ้านต้อนรับ กทม. ที่มาเยี่ยมเยือนเพื่อพูดคุยประเด็นร้อน นำโดย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าฯกทม. และ ศักดิ์ชัย บุญมา ผอ.กองจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน กทม. ด้วยความพยายามที่จะหาข้อยุติของปัญหาที่ยืดเยื้อมาถึง 24 ปี จากกรณีไล่รื้อชุมชนเพื่อสร้างสวนสาธารณะ ตามแผนแม่บทเมื่อ 50 ปีก่อน
มาลองพิจารณาถ้อยคำจากการเจรจาความในครั้งนี้ ว่ามีเหตุผล ข้อเสนอแนะและทางออกใดบ้าง
แผนแม่บท ‘ล้าสมัย’
แนะแก้ไข พระราชกฤษฎีกา
เริ่มที่หัวหน้าทีมวิจัยบ้านไม้โบราณในชุมชนป้อมมหากาฬ อย่าง ชาตรี ประกิตนนทการ
อาจารย์หนุ่มให้ความเห็นว่า แผนดังกล่าวมีความล้าสมัย เนื่องจากจัดทำขึ้นตั้งแต่ 50 ปีก่อน ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมและวิถีชีวิตในปัจจุบัน รวมถึงปัญหาด้านการบริหารงานที่ขาดการมองภาพรวมขององค์กรต่างๆ ของรัฐ แต่กลับดำรงอยู่มาได้ตั้ง 20-30 ปีโดยไม่มีการ “ทบทวน” จึงขอเสนอให้แก้ไขพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เพื่อปลดล็อกกฎหมายที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาพื้นที่ให้เอื้อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
“ปัญหาคือตัวแผนแม่บทที่จะทำเป็นสวนแบบโลกตะวันตก ไม่ใช่วัฒนธรรมการอยู่อาศัย ทั้งล้าสมัยและผิดพลาดในด้านวิชาการ ดำรงมา 20-30 ปีโดยไม่มีการทบทวน แผนนี้ไม่เวิร์กอีกต่อไป แต่ยังถูกผลักดัน จนตกไปที่ กทม. ซึ่งส่วนตัวก็เห็นใจ กทม.ในส่วนนี้ เลยขอเสนอให้แก้พระราชกฤษฎีกา รวมถึงเปลี่ยนบทบาทจากการที่เป็นผู้รอฝั่งตุลาการมากระตุ้นและส่งผลต่อการไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ที่เป็นภาระผูกพัน ให้เป็นผู้ยื่นเรื่องต่อ ครม.ชี้แจงข้อจำกัดและความล้าหลังของแผนแม่บทเดิม” ชาตรีกล่าว
ด้าน ปฐมฤกษ์ เกตุทัต อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาชุมชนและวัฒนธรรมเมือง เสริมว่า ผู้ที่ทำแผนดังกล่าวไม่มีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ เหตุใดจึงไม่เปิดเวทีให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียมาคุยกัน โดยเป็นเวทีที่มี “เสียงดัง” กว่านี้
นอกจากนี้ยังตั้งคำถามว่า น่าเชื่อหรือไม่ว่าโครงการมีความชอบธรรม สามารถชี้แจงได้จริงหรือไม่ ?
วอนระงับ ‘ปิดหมาย-ไล่รื้อ’
เสนอตั้งกรรมการ 2 ฝ่าย
ถึงคิวคนในชุมชนตัวจริงพูดบ้าง
พรเทพ บูรณบุรีเดช ที่ยืนยันว่าตนเคารพกฎหมาย แต่กฎหมายต้องเป็นธรรม อีกทั้งสามารถแก้ไขได้ ขอแค่มีบ้านอยู่ และมีส่วนร่วมในการดูแลเท่านั้น
“ตามคอนเซ็ปต์ทั้งชีวิตเราดูแล ของผู้ว่าฯกทม. ถามว่าดูแลยังไง หากชุมชนต้องย้ายออกไป จึงอยากจะขอแค่ให้พวกเรามีบ้านอยู่ ขอมีส่วนร่วมในการดูแล มีการพัฒนาร่วมกัน”
สำหรับข้อเสนอของชุมชนป้อมมหากาฬ สรุปได้ดังนี้
1.ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการฝ่ายกฎหมายทั้งสองฝ่าย
2.ให้ระงับการปิดหมาย ไล่รื้อ จนกว่าจะหาทางออกร่วมกันทั้งสองฝ่าย
3.ให้มีการจัดเวทีสาธารณะ โดยให้ประชาชนในภาคส่วนอื่นๆ ได้มีส่วนร่วมกำหนดทิศทางในการแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
รองผู้ว่าฯ ‘บิ๊กวิน’ เปิดใจ
ขอคุยฐานะ ‘คนไทยด้วยกัน’
ขณะที่ฝ่าย กทม.ซึ่งเดินเท้าเข้าสู่ป้อมมหากาฬในคราวนี้ เปิดใจโดย “บิ๊กวิน” พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าฯกทม.
“ในที่นี้จะไม่ใช่การพูดคุยในฐานะประชาชนกับนักการเมือง แต่เป็นการพูดคุยในฐานะคนไทยด้วยกัน” พล.ต.อ.อัศวินกล่าวเริ่มต้นประโยค
“เราจะไม่คุยกันในฐานะที่เป็นประชาชนกับนักการเมือง แต่ฐานะคนไทยด้วยกัน ผมทำเพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับพื้นที่ตรงนี้ แต่จะนำไปตอบผู้ตรวจการแผ่นดิน ศาลปกครองสูงสุดว่าอย่างไร ตอบฝ่ายกฎหมายบ้านเมืองว่าอย่างไร ผมทำ ผมไม่ได้อะไร คนที่ได้ประโยชน์คือกรุงเทพฯ คือประเทศไทย”
สำหรับปัญหาหลักในส่วนของหน่วยราชการอย่าง กทม.ก็คือ “ข้อกฎหมาย” ซึ่งบังคับให้เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการตามแผน ไม่เช่นนั้นจะมีบทลงโทษฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่
อย่างไรก็ตาม รองผู้ว่าฯให้คำมั่นว่าจะไม่ดำเนินการไล่รื้อโดยไม่แจ้งล่วงหน้า
หลังจบเวที แต่สุดท้ายยัง “ไร้ข้อสรุป” กทม.จึงเชิญตัวแทนชุมชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมต่อในวันรุ่งขึ้น (24 มิ.ย.) เวลา 09.00 น.
‘เอ็นจีโอ’ ห่วงความไม่ชัดเจน
เหตุให้ ‘คุณค่า’ ต่างกัน
อินทิรา วิทยสมบูรณ์ นักกิจกรรมเพื่อสังคม ซึ่งทำงานร่วมกับป้อมมหากาฬ กล่าวว่า แม้เวทีดังกล่าวยังไม่มีข้อสรุป แต่จากการพูดคุยในเวทีที่ป้อมมหากาฬ ทำให้มองเห็น “โอกาส” และ “สัญญาณ” ในเชิงบวกว่ายังสามารถมีพื้นที่ที่นำไปสู่การเจรจาได้อีก
เพราะดูทรงแล้วงานนี้ไม่มีทีท่า “หักด้ามพร้าด้วยเข่า”
อย่างไรก็ตาม เมื่อไปร่วมประชุมอีกครั้งที่ กทม.ในวันรุ่งขึ้น คือ 24 มิ.ย. ซึ่งเป็นวงประชุม “เฉพาะกิจ” พบว่าทางชุมชนและ กทม.มีมุมมองที่แตกต่างกันในแง่ของนิยามความหมายและการให้คุณค่า จึงอาจยังไม่มีคำตอบหรือการแก้ปัญหาอย่างที่คาดหวัง
“เรื่องกรอบแนวคิดก็ดี แผนแม่บทก็ดี กฎหมายก็ดี การสกรีนคนเก่า-ใหม่ในชุมชนก็ดี เรายังรู้สึกว่ามีความไม่ชัดเจน เพราะมองและให้คุณค่าในเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน เช่น มองคำว่าชุมชนไม่เหมือนกัน มองคำว่าสวนต่างกัน ซึ่งขอยืนยันว่าชุมชนไม่ได้ปฏิเสธการสร้างสวน กทม.มีสิทธิทำ แต่ขอให้ชุมชนมีส่วนร่วม โดยเป็นสวนแนวใหม่ ไม่ใช่สวนสาธารณะที่มีคนมาวิ่ง-ออกกำลังกาย แต่ควรเป็นพื้นที่การเรียนรู้ ท่องเที่ยว ทำกิจกรรมของเด็กๆ ซึ่งชุมชนพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเหล่านี้” อินทิรากล่าว
ทั้งหมดนี้คือความคืบหน้าที่ได้ไปเกาะขอบเวทีมารายงานให้ได้รับทราบ
คือความคืบหน้าล่าสุดของมหากาพย์วิวาทะแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ดูทีท่าจะยังไม่มีการ “หย่าศึก” โดยง่าย
ประเด็นนี้จะจบลงอย่างไร ยังคงต้องติดตาม