ปธ.เครือข่ายพิทักษ์พุทธยอมถอย อ้างไม่ได้นัดเจ้าอาวาส หลังบุกยื่นสอบพุทธะอิสระ

ประธานเครือข่ายพิทักษ์พุทธยอมถอย อ้างไม่ได้นัดเจ้าอาวาส ข้ามขั้นตอน

เมื่อเวลาประมาณ 16.00น.วันที่ 29 มิถุนายน ที่วัดอ้อน้อย ธรรมอิสระ ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม นายประสิทธิ์ สันจิตร (ทนายความ)ประธานเครือข่ายพิทักษ์พุทธ พร้อมกลุ่มพลังสตรีรักษ์พระพุทธศาสนา เดินทางมาด้วยรถตู้สีขาวจำนวนหนึ่ง เพื่อจะเข้ากราบนมัสการ พระอธิการศิริชัย สิริโสภโณ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ธรรมอิสระ. เพื่อขอให้ดำเนินการสอบสวนความผิดทางพระวินัย ตามกฏนิคหกรรม ด้วยข้อกล่าวหา “ต้องอาบัติปาราชิก สิกขาบทที่2 ” หรือไม่ ต่อหลวงปู่พุทธอิสระ หรือพระสุวิทย์ ธีรธัมโม มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.กำแพงแสนและทหารจากค่ายสุรสีห์ กาญจนบุรี จำนวนหนึ่งคอยอำนวยการดูแลความเรียบร้อย พร้อมกับบรรดาลูกศิษย์หลวงปู่พุทธอิสระ คอยสกรีนบุคคลที่อาจจะแอบเข้ามาก่อกวนลักษณะมือที่สาม โดยมีการแลกบัตรผ่านเข้าภายใน. เพื่อความปลอดภัย บริเวณซุ้มประตู ริมถนนมาลัยแมน

รายงานข่าวแจ้งว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบความเรียบร้อย และสอบถามเจตนา และวัตถุประสงค์ของการเดินทางมาครั้งนี้แล้ว จึงให้ นาย ประสิทธ์ ประธานเครือข่ายพิทักษ์พุทธ พร้อมพวก 2 คนเข้าไปที่ ลานธรรม ได้ ต่อมาหลวงปู่พุทธอิสระ ได้เดินทางมาที่ลานธรรม และมีการพูดคุยกันไม่นาน จากนั้น นาย ประสิทธิ์ ประธานเครือข่ายพิทักษ์พุทธ พร้อมพวกได้เดินทางกลับออกมา

นาย ประสิทธิ์ สันจิตร ประธานเครือข่ายพิทักษ์พุทธ กล่าวว่าวันนี้ตั้งใจมายื่นหนังสือต่อเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย แต่ท่านเจ้าอาวาสไม่สะดวก ที่จะออกมารับหนังสือ เพราะไม่ได้มีการนัดหมายไว้ก่อน จึงเป็นการกระทำข้ามขั้นตอนไป วันนี้ก็คงต้องกลับก่อนและจะทำหนังสือนัดท่านเจ้าอาวาสอีกครั้ง และจะมายื่นหนังสือใหม่อีกทีในข้อกล่าววหาเดิมฯ

Advertisement

ทั้งนี้เครือข่ายพิทักษ์พุทธ ได้นำเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์. แจกต่อสื่อมวลชน ความว่า วันที่ 29 มิถุนายน 2559. เวลาประมาณ15.00น.นายประสิทธิ์ สันจิตร (ทนายความ) ในฐานะประธานเครือข่ายพิทักษ์พุทธ เพื่อจะเข้ากราบนมัสการ พระอธิการศิริชัย สิริโสภโณ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ธรรมอิสระ เพื่อขอให้ดำเนินการสอบสวนความผิดทางพระวินัย ตามกฏนิคหกรรม ด้วยข้อกล่าวหา “ต้องอาบัติปาราชิก สิกขาบทที่2 ” หรือไม่ ต่อหลวงปู่พุทธอิสระ หรือพระสุวิทย์ ธีรธัมโม

จากการที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 คดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง หลวงปู่พุทธอิสระ หรือพระสุวิทย์ ธีรธัมโม และพวกแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือ กปปส. เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 2,663,409 บาท. พร้อมดอกเบี้ยร่อยละ 7.5 ต่อปี จากกรณีระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2556 ถึงมกราคม 2557 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในอาคาร DSI ถนนแจ้งวัฒนะแล้วทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สายไฟ กล้องวงจรปิด ที่อยู่ในความครอบครองของDSI

โดยโจทย์ซึ่งมีสำนักงานคดีแพ่ง สำนักงานอัยการสูงสุด ทำหน้าที่ทนายแผ่นดิน ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาล เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 ทำให้เจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือDSI ไม่สามารถปฎิบัติงานได้ โดยระหว่างการชุมนุมมีการตัดสายไฟเมนหลัก และทำให้เครือข่ายระบบอินเทอร์เน็ตกับคอมพิวเตอร์ ได้รับความเสียหาย

Advertisement

เมื่อศาลได้พิเคราะห์พฤติการณ์ของจำเลยแล้ว จึงมีคำพิพากษาของศาลแพ่งให้จำเลยที่ 1 คือ หลวงปู่พุทธอิสระ หรือ พระสุวิทย์ ธีรธัมโม ให้ต้องร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 2 ( พล.ต.สมเกียรติ วัฒนวิกย์กิจ) ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทย์ (DSI)เป็นจำนวนเงิน 899,203 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับจากวันถัดฟ้อง คือวันที่ 19 พฤศจิกายน2557. และให้จำเลยร่วมกันจ่ายค่าฤชาธรรมเนียมศาล. และค่าทนายความแก่โจทย์อีก เป็นเงินจำนวน 10,000 บาท

จึงมีคำถามตามมาว่าเพื่อให้มีการตรวจสอบ ว่า การที่พระภิกษุในพระพุทธศาสนาไปดำเนินการทางการเมือง ปิดถนน ปิดสถานที่ราชการ เป็นการทอดทิ้งธุระของพระภิกษุ 2อย่างคือ “คันถธุระ” การศึกษาพระธรรมวินัย และ “วิปัสสนาธุระ” การเจริญพระกรรมฐาน มีความผิดทั้งพระธรรม. และพระวินัย ความผิดทางธรรม นั้นได้ปฎิบัติผิด พระพุทธพจน์ในโอวาทปาฎิโมกข์ ข้อว่า “น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี” ผู้ฆ่า – ผู้ทำร้ายผู้อื่นไม่ใช่พระ “สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต” ผู้ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไม่ใช่พระ หรือไม่

ประเด็นที่ 2 เพื่อขอให้ตรวจสอบด้วยว่า ความผิดพระวินัยนั้น “การปิดถนน ปิดสถานที่ราชการ” เป็นเหตุทำให้. 1.ประชาชนทั่วไปผู้ที่มาติดต่อราชการเสียทรัพย์ในการเดินทาง. แต่ติดต่องานไม่ได้ 2.ทางราชการขาดรายได้จากค่าภาษีอากร และค่าธรรมเนียม ต่างๆที่พึงจะได้ซึ่งเทียบเคียงกันได้กับภิกษุผู้หลีกเลี่ยงค่าภาษี 3. ทรัพย์ของทางราชการเกิดความเสียหายและต่อาพนักงานอัยการได้เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง หลวงปู่พุทธอิสระ. หรือพระสุวิทย์ ธีรธัมโม กับพวกเป็นจำเลยและศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายแล้ว
ความผิดพระวินัย 1 ประการนี้ เป็นเหตุให้ภิกษุผู้กระทำต้อง “อทินนาทาน ปาราชิก ทั้งนั้น” หรือไม่

พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดต่อทรัพย์สินของทางราชการ. ของหลวงปู่พุทธอิสระ หรือ พระสุวิทย์. ธีรธัมโม นั่นถือว่าชัดแจ้งแล้วตามคำพิพากษา ศาลแพ่งและครบองค์ประกอบความผิดของ. “อาบัติปาราชิก. สิกขาบท ที่2 ” ที่มูลค่าของทรัพย์มากกว่าห้ามาสก หรือ บาทหนึ่ง ซึ่งมีบัญญัติองค์แห่งอาบัติ. ด้งนี้ 1. เป็นของผู้อื่นเป็นชาติมนุษย์หวงแหนอยู่ 2. สำคัญว่าเป็นของผู้อื่นหวงอยู่ 3. ของนั้นราคาบาทหนึ่งหรือราคากว่าบาทหนึ่งขึ้นไป 4. เถยยจิต 5. อาการที่ถือว่าลักทรัพย์ด้วยอวหาร

ด้งนั้นจึงขอให้เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง หลวงปู่พุทธอิสระ หรือ พระสุวิทย์ ธีรธัมโม ได้ทำการดำเนินการสอบสวนความิดทางพระวินัยตามกฏคหกรรม. ด้วยข้อกล่าวหา “ต้องอาบัติ ปาราชิก สิกขาบทที่ 2 ” ต่อพระพุทธอิสระ หรือ พระสุวิทย์ ธีรธัมโม ว่า “พ้นจากความเป็นพระในทางพระพุทธศาสนา เพื่อยังความศรัทธาของพุทธบริษัทให้ดำรงมั่นคงต่อไป

57

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image