ที่มา | มติชนรายวัน น.4 |
---|---|
ผู้เขียน | โดย การ์ตอง |
เผยแพร่ |
“ยังไม่ทันที่จะได้เริ่มพูดคุยกันเพื่อหาทางร่วมมือในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ก็มีคำตอบจากหัวหน้าพรรคการเมืองเก่าแก่ในลักษณะปิดฉากการหารือ”
คือถ้อยเริ่มต้นในหน้าเฟซบุ๊ก คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
ในวันรุ่งขึ้นหลัง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์หลังได้รับรายงานจาก นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ เรื่องที่ “สุดารัตน์”
เกิดประเด็นนัดนักการเมืองหารือ “ทางออกของประเทศ” โดย “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” บอกตอนหนึ่งว่า “สิ่งที่ต้องระวังคือนักการเมืองอาจถูกมองว่าสร้างประเด็นทางการเมืองขึ้นมา หรือทำให้เกิดความหวาดระแวง”
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มองว่าอาจมีอะไรแอบแฝง ดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือสร้างความไว้วางใจในสังคม” คือของ “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” ที่ทำให้ “สุดารัตน์”
ตอบคำว่า
“ดิฉันขออนุญาตเห็นต่างจากหัวหน้าพรรคของคุณนิพิฏฐ์ที่เกรงว่าผู้มีอำนาจจะหวาดระแวง
ถ้านักการเมืองได้มาพูดคุยกันเพื่อหาทางออกให้กับประเทศชาติอย่างสร้างสรรค์ เพราะดิฉันคิดว่านักการเมืองต้องมีความ
กล้าหาญที่จะรับผิดชอบต่อประชาชน”
หลังการรัฐประหาร “นักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน” ถูกกดข่ม ประณามในเชิงเป็น “กลุ่มชนที่สร้างปัญหาให้กับประเทศ”
ถูกตอกย้ำให้ติดอยู่กับภาพ “พวกที่เห็นประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม เต็มไปด้วยพฤติกรรมทุจริตประพฤติมิชอบ เข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากส่วนรวมเป็นของส่วนตัว”
และที่สุด “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ถูกร่างขึ้นมาเพื่อลดบทบาทของนักการเมืองจากการเลือกตั้งลง ให้สิทธิพิเศษกับ “นักการเมืองพวกรอการเสวยอำนาจจากการแต่งตั้ง” แทน
เหล่านี้เป็นแรงบีบคั้นให้ “ผู้เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย” ที่ “ไว้วางใจกับอำนาจของประชาชน” ให้เกิดความรู้สึกว่า “นักการเมืองจากการเลือกตั้ง”
ควรจะมีสำนึกที่จะออกมาต่อสู้ให้เห็นว่า “นักการเมืองจากการเลือกตั้ง” ไม่ได้เลวทรามต่ำช้าถึงขนาดนั้น และควรจะให้คุณค่ากับ “อำนาจของประชาชน”
แทนที่จะยอมจำนนด้วยกับข้อครหาดังกล่าว
นักการเมืองที่ปวารณาตัวเองเป็น “ผู้แทนประชาชน” ควรจะมีสำนึกในการคิดถึงประชาชน
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้น มีข้อครหาอยู่ไม่น้อยว่า มีนักการเมืองบางจำพวกที่ไม่มีความเชื่อมั่นในประชาชน
พร้อมที่จะอิงแอบอำนาจนอกระบบเพื่อแสวงหาอำนาจให้ตัวเอง โดยพร้อมที่จะละเลยการตัดสินของประชาชนเสียงส่วนใหญ่
มีความพยายามชี้ให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วความยุ่งยากที่เกิดขึ้นกับประเทศชาตินั้น มาจากนักการเมืองจำพวกที่ไม่เคยศรัทธาในประชาชนนี้
คิดแต่การเปิดทางสู่อำนาจไว้ให้ตัวเอง ด้วยวาทกรรมที่คลุมเครือ
อย่างไรก็ตามมีความเชื่อว่าในที่สุดแล้ว เวลาจะพิสูจน์เองว่า ใครเป็นนักการเมืองแบบไหน
บางทีเวลาที่จะพิสูจน์เริ่มสาดแสงให้เห็นความเป็นจริงนั้นรางๆ แล้ว และอีกบางทีอะไรต่ออะไรจะยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแนวโน้มกระจ่างขึ้นว่า
“ใครจะเป็นผู้กำหนดอำนาจเฉพาะหน้า”
นักการเมืองที่หวังโอกาสเข้าสู่อำนาจ โดยไม่เลือกวิถีทาง ย่อมแสดงตัวตนออกมาในการรีบเร่งตะครุบโอกาสแห่งอำนาจนั้น