| ที่มา | มติชนออนไลน์ |
|---|---|
| เผยแพร่ |
สืบเนื่องกรณี ไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬ เพื่อสร้างสวนสาธารณะโดย กทม. ตามแผนแม่บทเมื่อ 50 ปีก่อน ซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อมานาน 24 ปีวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงแนวทางการดำเนินการปรับ ปรุงภูมิทัศน์บริเวณป้อมมหากาฬ ว่า กทม.ยืนยันตามมติเดิม โดยตั้งเป้าว่าภายในต้นเดือนสิงหาคมนี้จะรื้อถอนให้ได้ประมาณ 10 หลัง
ส่วนกรณีที่มีนักวิชาการบางส่วนมองว่าชุมชนอยู่ร่วมกับโบราณสถานได้นั้น พล.ต.อ.อัศวินกล่าวว่า ไม่เคยเห็นว่ามีโบราณสถานแห่งใดที่มีชุมชนอยู่ร่วมด้วยมาก่อน ซึ่งกรณีเป็นชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงแต่ไม่ได้อยู่ภายในพื้นที่โบราณสถาน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ผศ.ดร.รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ ม.รามคำแหง กล่าวว่า การที่บอกว่า ชุมชนกับโบราณสถานไม่เคยอยู่คู่กันนั้น ตนมองว่าไม่จริง เพราะในเกาะรัตนโกสินทร์ มีโบราณสถานจำนวนมาก มิฉะนั้นไม่ต้องมีตึกแถวรอบวัด ยิ่งไปกว่านั้น ตึกแถวบางแห่งซึ่งมีผู้อยู่อาศัย ก็ยังเป็นโบราณสถานอีกด้วย
“ตามธรรมดาในสมัยโบราณชานกำแพงพระนครต้องมีบ้านเรือนอาศัยตลอดเวลา ในแผนที่ พ.ศ. 2430 กำแพงพระนครเต็มไปด้วยชุมชน บางทีมีวังเจ้าตั้ง ริมกำแพง เช่น วังสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ วังกรมพระสมตตอมรพันธุ์ แม้กระทั่งวังกรมพระนเรศวรฤทธิ์ ที่สำคัญชุมชนเหล่านี้ มีความสำคัญ ปัจจุบันกำแพงกรุงเทพหายไป เหลือแค่บางส่วนเท่านั้น ถ้าคิดจะรื้อชุมชนแถวป้อมมหากาฬ คิดว่าเป็นความอดสูของประวัติศาสตร์ชุมชนของกรุงรัตนโกสินทร์” ผศ.ดร. รุ่งโรจน์กล่าว
