รถดับเพลิงพวงมาลัยซ้ายแล้วไง กทม.แจงไม่ผิดกฎหมาย ไม่เอามาใช้เพราะไม่มีเหตุ..

กรณีที่นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แถลงเปิดโปงความไม่โปร่งใสของการจัดซื้อรถกู้ภัยขนาดเล็กของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่จัดซื้อในปีงบประมาณ 2558 โดยระบุว่า เตรียมจะรวบรวมข้อมูลและเอกสารเพื่อนำไปยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อขอให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวภายในสัปดาห์หน้านั้น

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีกระแสข่าวดังกล่าวได้ขอสัมภาษณ์ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก่อนเข้าประชุมคณะผู้บริหาร กทม.ถึงกรณีดังกล่าว แต่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ โดยหลังจากประชุมเสร็จสิ้นได้มอบหมายให้ นายวสันต์ มีวงษ์ โฆษกผู้ว่าฯ กทม.และนางเบญทราย กียปัจจ์ รองโฆษกฯ แถลงข่าวชี้แจงถึงกรณีการจัดซื้อรถกู้ภัยและกรณีที่มีการตั้งคำถามถึงการจัดซื้อเครื่องสูบน้ำของ กทม.

นายวสันต์ แถลงว่า กรณีที่รถกู้ภัย เป็นรถพวงมาลัยซ้ายนั้นไม่ผิดกฎหมาย โดยรถทั้งหมดจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ผิดกฎหมายจราจรทางบก ซึ่งหากถามว่าทำไมต้องจัดซื้อเป็นพวงมาลัยซ้ายนั้น เนื่องจากทั่วโลก ผลิตและใช้เป็นพวงมาลัยซ้าย ซึ่งไม่ส่งผลต่อสมรรถนะในการใช้งาน การจัดซื้อของกทม.ดูที่การใช้งานและประโยชน์ในการใช้ ซึ่งรถพวงมาลัยซ้ายก็สามารถขับได้ทั่วไปบนท้องถนน ทั้งนี้ ขนาดของรถที่มีขนาดเล็กเท่ากับรถเอทีวีท่องเที่ยวและรถกะป๊อ เนื่องจากต้องการใช้ในการเข้าตรอกซอกซอยขนาดเล็กที่รถดับเพลิงขนาดใหญ่เข้าไม่ถึง ซึ่ง กทม.มีกว่า 5,121 ซอย จึงจำเป็นที่ กทม.จะต้องหาแนวทางป้องกันที่เหมาะสม แต่ยืนยันว่ามีสมรรถนะที่สูงกว่าตามมาตรฐานประเทศเยอรมนีแน่นอน ส่วนข้อสังเกตที่ระบุว่ารถมีสภาพใหม่มากเหมือนไม่ได้ใช้งานนั้น การจะเอาออกไปใช้ต้องมีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้น แต่ตั้งแต่จัดซื้อมายังไม่เกิดเหตุเพลิงไหม้จึงยังไม่ได้ใช้ อีกทั้งข้อสังเกตของนายวิลาศ ที่กล่าวหาว่ารถกู้ภัยดังกล่าว ไม่มีไฟท้าย ไฟเลี้ยว กระจกมองหลังนั้น ขอยืนยันว่ามีองค์ประกอบของรถครบถ้วนไม่เช่นนั้นจะจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกได้อย่างไร นอกจากนี้ ในกระบวนการตรวจรับทุกครั้ง ก็มีนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นพยานทุกครั้ง โดยการจัดซื้อก็เป็นไปตามเงื่อนไขการประกวดราคา (ทีโออาร์) ไม่มีการบิดเบือน

“ส่วนราคาที่ระบุว่าแพงเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีจากประเทศอื่นๆ นั้น ต้องดูการเปรียบเทียบว่าคุณสมบัติ ความสามารถเทียบเท่ากันหรือไม่ เพราะเทคโนโลยีที่ กทม.จัดซื้อจากเยอรมนีถือเป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในขณะนี้” นายวสันต์ กล่าวและว่า ส่วนกรณีการจัดซื้อครื่องสูบน้ำที่มีการเผยแพร่ในสื่อบางสำนักรวมไปถึงในโลกออนไลน์ระบุว่าไม่สามารถใช้รถกระบะลากจูงได้เพราะมีน้ำหนักมากถึง 4 ตัน นั้น ขอยืนยันว่าใช้คนเพียง 3 คน ก็สามารถลากจูงได้แล้ว และสามารถใช้รถกระบะลากจูงได้จริง โดยการจัดซื้อเครื่องสูบน้ำล็อตนี้นั้น กทม.คำนึงถึงเครื่องยนต์ที่ก่อเสียงดังและมีควันรบกวนประชาชนน้อยลง ซึ่งเครื่องสูบน้ำที่ใช้อยู่นี้เป็นเทคโนโลยีของสเปนแต่ผลิตในจีน โดยมีประสิทธิภาพสูง อีกทั้งเครื่องสูบน้ำดังกล่าวมีน้ำหนัก 1.9 ตัน ไม่ถึง 4 ตัน ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูล ส่วนกรณีราคาที่มีการนำเสนอว่าราคาแพงนั้น หากเทียบกับการจัดซื้อก่อหน้านี้ประมาณปี 2550 ที่จัดซื้อราคาประมาณกว่า 800,000 บาท การจัดซื้อล็อตนี้ในราคา 930,000 บาท ถือว่าไม่แพง เพราะมีการเพิ่มสเปค คือ ลดเสียง ลดควันด้วย

Advertisement

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการชี้แจงนายวสันต์ได้โชว์ภาพรถกู้ภัยต่อผู้สื่อข่าว รวมถึงได้เปิดคลิปวิดีโอที่แสดงการลากจูงเครื่องสูบน้ำโดยรถกระบะ เพื่อยืนยันว่าสามารถลากจูงได้

ด้านนายวิลาศ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ปชป.และ สตง.ได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของ กทม.อย่างเข้มข้น ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า กทม. หรือผู้ว่าฯ กทม.ปฏิเสธเรื่องการตรวจสอบการทำงาน แต่ตั้งข้อสังเกตว่าการตรวจสอบในระยะหลังนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไป มีการตรวจสอบถี่ขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ มีการให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางครั้งเป็นการให้ข้อมูลในลักษณะชี้นำ จนอาจทำให้สังคมเชื่อว่าเกิดการทุจริตแล้ว ทั้งที่ยังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบเท่านั้น จึงอยากขอความเป็นธรรมให้กับเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ รวมถึงผู้ว่าฯ กทม.ด้วย

“กทม.ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบเรื่องต่างๆ มาโดยตลอดตั้งแต่ปีแรกที่ผู้ว่าฯ กทม.เข้ามาทำงานจนถึงปีนี้ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการทำงาน เพียงแต่ว่าในช่วงปีสุดท้ายจะเห็นว่า พฤติกรรมแปลกๆ หรือผิดปกติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกระบวนการตรวจสอบ จนทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตไม่ได้ ทั้งนี้ เมื่อมีเรื่องการตรวจสอบต่างๆ ผู้ว่าฯ กทม.ได้สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทุกเรื่อง ไม่ได้ละเลยหรือเพิกเฉย ขณะเดียวกัน ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ไม่ได้หมายความว่าผู้ว่าฯ กทม.จะทราบทุกเรื่อง เพราะการแบ่งงานโดยสายงานโครงสร้างผู้บังคับบัญชาของ กทม.ได้มีการแบ่งงานกันชัดเจน บางเรื่องที่เกิดขึ้นผู้ว่าฯ กทม.อาจไม่ทราบหรือบางครั้งอาจทราบจากสื่อด้วยซ้ำไป” นายวิลาศ กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image