นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุม Aging Society ที่กระทรวงการคลัง ว่า เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงเรื่องสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งนับวันคนไทยเข้าสู่วัยชรามากขึ้น จึงได้ร่วมประชุมกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการคลัง เพื่อรวบรวมมาตรการที่เกี่ยวข้องรวมทั้งคิดมาตรการใหม่มาดูแลผู้สูงอายุ โดยสั่งการว่าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการดูแลผู้สูงอายุเป็นกลุ่มตามลำดับคือ ภาษี ที่อยู่อาศัย และแรงงาน ซึ่งอนาคตจะมีมาตรการออกมาเรื่อยๆ และแต่ละเรื่องต้องการให้เอกชนมาร่วมด้วย
นายสมคิดกล่าวว่า สำหรับมาตรการดูแลผู้สูงอายุได้สั่งการให้ธนาคารออมสินคิดแพ็คเกจสินเชื่อเพื่อคนชรา พร้อมมอบหมายให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)และการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ให้สิทธิพิเศษสำหรับครอบครัวที่เลี้ยงดูบุพการี เช่น ในอนาคตหากรัฐออกโครงการบ้านสำหรับประชาชนต้องให้ครอบครัวที่เลี้ยงดูบุพการีมีสิทธิ์จองก่อน หรือได้รับสินเชื่อก่อน ขณะที่กระทรวงการคลังได้รายงานต่อที่ประชุมว่า การศึกษาการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ(กบช.) ดำเนินการใกล้เสร็จแล้ว ซึ่งส่วนตัวต้องการให้กองทุนดังกล่าวเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังเตรียมออกประกาศให้ผู้ประกอบการที่จ้างผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปสามารถนำรายจ่ายมาหักภาษีได้ 2 เท่า พร้อมประสานงานให้กระทรวงแรงงานแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และได้เตรียมมาตรการจำนองบ้านเป็นเงินไว้ใช้ยามเกษียณ (รีเวิร์ส มอร์เกส) ให้คนชราที่มีบ้านสามารถนำไปจำนองเพื่อรับเงินไว้ใช้ตลอดชีวิต
นายสมคิด กล่าวว่า ทั้งนี้ได้ให้การบ้านกระทรวงสาธารณสุขในการพัฒนาสุขอนามัยไปสู่ท้องถิ่นร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ด้วย ด้านกระทรวงแรงงานรายงานว่าอยู่ในระหว่างพัฒนาศูนย์กลางเพื่อรับขึ้นทะเบียนผู้สูงอายุที่ต้องการทำงานที่ตนเองถนัด อย่างไรก็ตาม สำหรับการดูแลผู้สูงอายุที่เป็นเกษตรกรนั้น กระทรวงการคลังได้ชี้แจงว่าการขึ้นทะเบียนในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจะช่วยให้ภาครัฐทราบว่ามีผู้สูงอายุรายได้น้อยกี่ราย และอยู่ในพื้นที่ใดบ้าง นอกจากจะช่วยเหลือได้โดยตรงและไม่รั่วไหลแล้วรัฐบาลยังช่วยให้รัฐบาลวางแผนการจัดสรรเงินได้ถูกต้องด้วย
