“ประยุทธ์” ยันไม่ทูลเกล้าฯสังฆราชองค์ใหม่ จนกว่าสมเด็จช่วงจะเคลียร์ตัวเอง-มอบกระทรวงต่างประเทศ ประสานสหรัฐฯ ส่งตัว “เณรคำ”

แฟ้มภาพ

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 26 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงขั้นตอนการดำเนินการของรัฐบาล ภายหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้ว่าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ครอบครองรถเบนซ์โบราณเข้าข่ายความผิดใน 2 ข้อหากล่าวหา ว่า ขั้นตอนการพิจารณาเป็นไปตามกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีขั้นตอนอยู่แล้ว แต่อะไรก็ตามที่ยังไม่มีการตัดสินออกมา ต้องให้โอกาสทั้งเจ้าหน้าที่ได้ทำงาน และให้โอกาสกับผู้ที่ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริง จากนั้นกระบวนการยุติธรรมก็จะเป็นผู้ตัดสินออกมา ถ้าไม่เป็นแบบนี้มันไปต่อไม่ได้ วันนี้บ้านเมืองก็ยุ่งมากพอสมควรแล้ว ส่วนตัวเห็นว่าอะไรที่ยังไม่ใช่ความเร่งด่วนมากนัก คิดว่าควรเบา ๆ กันลงบ้าง

ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ขณะนี้ก็มีลูกคู่ทั้งฝ่ายสนับสนุน และคัดค้านออกมาเคลื่อนไหว รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ต้องดูว่าทำได้หรือไม่ ทั้งกฎหมาย และวินัยสงฆ์ ประชาชนสามารถคิดและตัดสินเองได้ เพราะเป็นผู้ที่มีศรัทธา แต่ทุกอย่างวันนี้น่าจะต้องใช้กฎหมายเป็นบรรทัดฐาน

เมื่อถามย้ำว่า การที่จะให้โอกาสกับผู้ที่ถูกกล่าวหาในการชี้แจงข้อเท็จจริงนั้น เรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช จำเป็นจะต้องรอกระบวนการให้เสร็จสิ้นก่อนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ใช่จะรอแต่ความจริงมันควรจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ หรือจะให้มันวุ่น ตั้งใครก็ตั้งทั้งหมดเลยหรือไม่จำเป็นจะต้องตรวจสอบ ตรวจทาน อะไรเลย ผมเป็นคนสั่งตรวจสอบตั้งแต่ต้นหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ ทุกเรื่องเป็นคดีเก่าทั้งสิ้น ไม่ใช่อยู่ ๆ รัฐบาลนี้ไปขุดคุ้ยขึ้นมาเสียเมื่อไร มันมีการร้องทุกกล่าวโทษ ทุกอย่างผมบอกแล้วว่าเป็นเรื่องของกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม และศาลที่จะว่ามา ผมก็ทำตามอำนาจบริหารที่มีอยู่วันนี้ก็สอบต่อไปซิ ถ้ายังไม่ชัดเจน ซึ่งมันก็เกี่ยวกับวิกฤตศรัทธาของประชาชนด้วย เมื่อคืนก่อนนอนสวดมนต์กันบ้างหรือเปล่า ถ้าไม่สวดก็ไม่รู้ผมสวดทุกคืนคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกอย่างถือเป็นคำสอนของพระองค์ทั้งหมด”

เมื่อถามย้ำว่า หมายความว่า การแต่งตั้งพระสังฆราช ขึ้นอยู่กับเวลาที่เหมาะสมใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม แต่ขึ้นอยู่กับการสอบสวน ซึ่งอย่าไปยุ่งกับเขามากนัก ถ้าถามฝั่งนี้คำ ฝั่งโน้นคำก็ทะเลาะกันไม่เลิก คนที่ถูกกล่าวหาก็ไปเตรียมหลักฐานมาต่อสู่คดีก็ว่ากันไป คนที่ทำหน้าที่ก็ต้องปล่อยให้เขาทำหน้าที่ต่อไป ถ้าทั้งสองฝ่ายมาเจอหน้ากันได้ก็จะสามารถเดินหน้าไปสู่กระบวนการต่าง ๆ ได้ แต่ถ้าเจอกันไม่ได้ จะมาบังคับให้ตนทำอะไร

Advertisement

เมื่อถามว่า แล้วขั้นตอนการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ที่จะนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ จะเป็นอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ขั้นตอนของผมคือต้องเคลียร์ข้อกล่าวหาให้ได้ก่อน วันนี้เคลียร์กันหรือยังแล้วผมเป็นคนทำหรือ ข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ ผมเป็นคนทำความผิดด้วยหรืออย่างไร วันนี้ผมยังไม่ได้บอกเลยว่ามันผิดหรือถูก ถ้าคิดว่าถูกก็มาสู้คดี นำหลักฐานมาชี้แจงมันก็จบ ผมเคารพพระสงฆ์ทุกองค์ ผมไม่ได้ยืนข้างใครอยู่แล้ว พระสงฆ์เองผมก็เคารพ กราบไหว้ท่านมาโดยตลอด วันนี้ผมเจอผมก็กราบไหว้เหมือนเดิม ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร เพราะผมไม่ได้เลือกข้างใครอยู่แล้ว แต่ต้องเห็นใจผมด้วย เพราะผมทำหน้าที่ให้ประเทศชาติสงบ ปัญหาทุกวันนี้ก็ล้วนเป็นปัญหาเดิมทั้งสิ้น ถ้าอยากจะตกอยู่ในวังวนเหล่านี้ก็ไม่เป็นไร ทำกันต่อไป สู้กันไปก็แล้วกัน ผมไม่สู้ด้วย ไม่ว่าจะกับใครทั้งนั้น ผมสู้กับความยากจน ความเหลื่อมล้ำ สู้กับความไม่เป็นธรรม สู้กับการเตรียมการพัฒนาประเทศในช่วง 20 ปี ข้างหน้า ไว้ให้กับทุกคน ผมไม่ได้อะไรจากที่ทำมาเพราะยังไม่เกิดผลในตอนนี้ เพราะฉะนั้นจะไปคาดหวังให้เศรษฐกิจโตขึ้นร้อยละ 50 มันเป็นไปไม่ได้ คิดให้มีตรรกกันบ้าง สร้างทางรถไฟไม่ใช่จะเสร็จในวันเดียว อยากถามว่าแล้วทำไมที่ผ่านมาไม่ทำกันไว้บ้างผมจะได้ไม่ต้องมาทำ”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีที่ดีเอสไอ ได้ประสานงานกับทางการสหรัฐฯ ในการจับกุมตัวนายวิรพล สุขผล หรือ เณรคำ ว่า ขั้นตอนต่อไปก็อยู่ที่ทางการสหรัฐฯ จะส่งตัวมาเมื่อไร อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศที่อยู่ระหว่างการประสานงาน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเราจะไปชี้ว่าคนนั้นคนนี้มีความผิดแล้วต้องจับกุม ไม่เช่นนั้นก็คงจับได้หมด ทั้งนี้เราได้แจ้งไปในทุก ๆ ที่แล้วว่าใครทำผิดอะไรไว้บ้าง หลับหนีคดีอย่างไร ได้แจ้งไว้ทั้งหมด ก็สุดแต่ว่าประเทศนั้น ๆ จะว่าอย่างไร ทุกอย่างมันก็เป็นการเมืองโลก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image