หมอเปรมโพสต์’ผมไม่แคร์สื่อ’ แจง 5 ประเด็น-ลั่นผ่านชีวิตการเมืองสาหัสกว่านี้ 1 ส.ค.พบ ตร.

หมอเปรมโพสต์’ผมไม่แคร์สื่อ’ แจง 5 ประเด็น-ลั่นผ่านชีวิตการเมืองสาหัสกว่านี้ 1 ส.ค.พบ ตร.

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีต ส.ส.ขอนแก่น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น
ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊ก โดยระบุว่าวันนี้ผมมีเรื่องแถลงชี้แจงหลายประเด็น ดังนี้ครับ

เรื่องแรก-ผมยืนหยัดสู้ไม่ถอย ไม่คิดหนีเหมือนที่โดนปล่อยข่าว

ผมขอยืนยันต่อบรรดาผู้สนับสนุนผม และทุกท่านว่า ตามที่มีการปล่อยกระแสข่าวว่าผมคิดหลบหนี ไม่สู้แล้วนั้น ไม่เป็นความจริง

Advertisement

ในประวัติการต่อสู้ทางการเมืองของผมนั้น ผมเจออะไรที่หนักหนาสาหัสมามากกว่านี้แล้ว ทั้งในอดีตที่เคยต่อสู้ขับเคี่ยวกับ เสธ.หนั่น-พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ที่มีอำนาจล้นฟ้าในเวลานั้น ทั้งกับอดีต ผบ.ตร.ท่านหนึ่ง ทั้งกับระบอบทักษิณ ผมผ่านมาหมด

คนเหล่านั้นเคยมีอำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดิน แต่ผมไม่เคยท้อถอยในการต่อสู้กับสิ่งที่เป็นอธรรม และผมก็กล้าแกร่งขึ้น เหมือนเป็นแมว 9 ชีวิต คราวนี้ก็เช่นกันครับ ผมขอให้ความเชื่อมั่นกับทุกท่านไว้ตรงนี้

ในส่วนที่ผมโดนเล่นงานอยู่เวลานี้ทั้ง 2 เรื่องที่สื่อกำลังตามบี้ตามเช็ดผมอยู่ด้วยความเท็จนั้น ผมขอเรียนชี้แจงว่า เรื่องอยู่ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนของทางราชการ ผมจึงตามใจสื่อไม่ได้ที่พยายามอย่างยิ่งยวดมาคาดคั้นบีบคอผมจะเอาคำตอบตามใจสื่อ

Advertisement

ในวันที่ 1 สิงหาคม ผมจะไปให้การตามหมายเรียกของตำรวจ สภ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น อย่างแน่นอน ส่วนการสอบสวนของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อท่านมีเอกสารมาเรียกผมไปสอบสวนเมื่อไหร่ ผมก็พร้อมจะไปพบตลอด ผมขอชี้แจงตามระบบ ไม่ขอชี้แจงตามที่สื่อคาดคั้นเค้นคอ แล้วสื่อก็นำไปตัดสินชี้นำล่วงหน้าให้ประชาชนเข้าใจผิด และขอเรียนว่ากรณีที่สื่อเค้นคอคาดคั้นเอาเป็นเอาตายกับผมนั้นเป็นเรื่องเป็นความเป็นคดีอยู่ในชั้นการสืบสวนสอบสวน ผมจึงขอสงวนสิทธิที่จะยังไม่ชี้แจงในทางสาธารณะ อันเป็นผลได้ผลเสียต่อรูปคดี จะขอให้การต่อตำรวจและท่านผู้ว่าราชการจังหวัดตามกระบวนการทางราชการก่อน

ผมไม่แคร์สื่อ ไม่ทำตามใจสื่อครับ ขอให้เข้าใจตรงกันนะครับ

เรื่องที่ 2-กรณีสื่อเสนอความเท็จว่าผมปลดพนักงานเทศบาล ที่เป็นพยานปากเอกในคดี

สื่อได้นำเสนอข่าวชี้นำไปทำนองว่า ผมได้ปลดพนักงานเทศบาลรายหนึ่งที่เป็นพยานปากเอกในคดีผู้สื่อข่าวบุกรุกห้องทำงานของผม เพื่อหวังปิดปาก ซึ่งเป็นความเท็จ

เพราะไม่ได้มีการปลดพนักงานเทศบาลในระหว่างที่เกิดเรื่องขี้นเลย จากการที่ผมได้ตรวจสอบถ้วนถี่แล้วพบว่าเป็นกรณีที่เกิดขึ้น 2 ปีมาแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่ผมเข้ามารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีไม่นาน ได้มีพนักงานเทศบาลจำนวน 3 ราย หมดอายุสัญญาจ้างลง และไม่ได้รับการต่ออายุสัญญาจ้างจากเทศบาล ทางเทศบาลก็ได้แจ้งไปยังคณะกรรมการเทศบาลขอนแก่นได้รับความเห็นชอบและยุบตำแหน่ง เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าไม่มีความจำเป็น และสิ้นเปลืองงบประมาณ

ดังนั้นทุกท่านก็คงจะได้เห็นว่าเป็นเจตนาชัดเจนของสื่อที่จะให้ร้ายป้ายสีผมว่า เรื่องมาเกิดเอาตอนนี้ ผมไปปลดพยานปากเอกในคดี ซึ่งเป็นเรื่องเท็จ

เรื่องที่ 3-ความเท็จที่สื่อนำเสนอว่าผมใช้อำนาจปลดประธานชุมชน 13 ราย

กรณีนี้คล้ายกับข้างต้น คือสื่อพยายามชี้นำว่าผมปลดประธานชุมชน 13 รายโดยมิชอบ แล้วก็ไปยุยงให้ประธานชุมชนมาว่ากล่าวให้ร้ายผมในทางเสียหาย ซึ่งคนอ่านและสาธารณชนพึงวินิจฉัยว่า สื่อกระทำการเช่นนี้ ยังมีความน่าเชื่อถือได้หรือไม่

เรื่องนี้ความจริงมีอยู่ว่า ก่อนหน้าผมจะเข้ามาเป็นนายกเทศมนตรีบ้านไผ่นั้น ก็มีชุมชนอยู่ทั้งสิ้น 26 ชุมชน บางชุมชนใหญ่ บางชุมชนเล็ก ทำให้มีปัญหาเรื่องการเข้าถึงบริการภาครัฐไม่เท่าเทียมกัน เมื่อผมเข้ามาเป็นนายกเทศมนตรี ผมเลยปรึกษาหารือแล้วได้สรุปว่าควรเกลี่ยให้สมดุลกัน แล้วก็เพิ่มมาเป็น 39 ชุมชน เพื่อบริการประชาชนได้ทั่วถึงมีประสิทธิภาพ และก็พอดีว่าประธานชุมชนชุดเดิมก็หมดวาระลง อยู่มาครบวาระพอดี จะเลือกตั้งใหม่ก็ไม่ได้ เพราะ คสช.มีประกาศห้ามไม่ให้มีการเลือกตั้งทุกระดับชั้น ก็ต้องใช้วิธีให้ประชาคมชุมชนนั้นคัดสรรบุคคลที่เหมาะสมขึ้นมาเป็นประธาน ก็ปรากฏว่าประธานชุดเดิมได้รับการคัดสรรเข้ามาครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งคือ 13 คนไม่ได้รับการพิจารณาคัดสรรจากประชาคมท้องถิ่น

สรุปก็มีประธานชุมชนชุดใหม่ 39 ท่าน มาร่วมมือกับผมบริหารกิจการเทศบาลและชุมชนด้วยกัน ก็ทำงานบริหารได้ดีมาก จนเทศบาลบ้านไผ่ได้รับรางวัลองค์กรปกครองท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดี จากสำนักนายกรัฐมนตรี 2 ปีซ้อน ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์เทศบาลบ้านไผ่ เนื่องจากอาจเป็นเพราะว่าไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงได้เกิดการบริหารเต็มที่ตามหลักธรรมาภิบาล ดังนั้นที่บอกนายกเทศมนตรีไปปลด 13 ประธานชุมชนจึงไม่เป็นความจริง

แต่สื่อก็ไปเอาไมค์จ่อปากให้อดีตประธานชุมชน 13 รายที่ไม่ได้รับการคัดสรรมาใส่ร้ายป้ายสีผม เช่นหาว่าผมชอบไปขอเบอร์เด็กสาวๆ ท่านก็พิจารณาเองว่า สื่อที่อยากหาเรื่องสารพัดไล่บี้ไล่เช็ดผม ไปเอาคนที่เสียผลประโยชน์ เพราะไม่ได้ถูกคัดสรรให้เป็นประธานชุมชนต่อมาเล่นงานผมนั้น มันฟังได้แค่ไหน

เรื่องที่ 4-กรณีสื่อเสนอข่าวอันเป็นเท็จว่าผมโดนปลดจากประธานกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนบ้านไผ่

สื่อไปเสนอพาดหัวตัวไม้ว่ามีมติปลดผมแล้วจากการเป็นประธานคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนบ้านไผ่ ซึ่งเป็นความเท็จ

คนที่ว่าไปมีมติปลดผมนั้น ไม่ได้มีบทบาทหน้าที่อะไรในทางโรงเรียนเลย เป็น ส.จ.คนหนึ่งของเขตบ้านไผ่ ขอนแก่น ประกาศตัวชัดเจนว่าจะมาลงแข่งขันกับผมเป็นนายกเทศมนตรีบ้านไผ่ และที่ว่ามีมตินั้น ก็ไม่ได้เป็นสมาคมศิษย์เก่าเป็นเรื่องเป็นราวเป็นทางการอะไรแต่อย่างใด แต่อุปโลกน์กันขึ้นเป็นชมรมศิษย์เก่า 4-5 คน ซึ่งก็เป็นหัวคะแนน ส.จ.รายนี้ แล้วก็ลงมติว่าปลดผมตามบทที่สื่อให้พูด และนำเสนอพาดหัวข่าว ส่วนคนมีอำนาจตามกฎหมายว่าปลดผมได้หรือไม่คือนายกิตติ บุญเชิด ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขตที่ 25 บอกว่ายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เห็นแต่สื่อพาดหัวว่าปลดไปแล้ว เรื่องยังไม่ตกมาถึงท่านผู้อำนวยการฯเลย

ส.จ.รายนี้กับหัวคะแนนที่อุปโลกน์ตนเป็นชมรมศิษย์เก่าและมีมติปลดผมข้างถนนก็ยื่นหนังสือ ผอ.โรงเรียน ตามธรรมเนียมท่าน ผอ.โรงเรียนก็ควรเรียกผมไปชี้แจงข้อกล่าวหา นี่ผมก็ยังไม่ได้รับหนังสือเรียกแต่อย่างใด ส.จ.รายนี้ก็ด่วนได้ใจเร็ว ไม่อยากรอ 2 ปีก็เร่งให้ปลดผมจะได้เป็นแทนไวๆ ก็ข้ามหัว ผอ.โรงเรียนไปยื่นหนังสือ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯเองเลย

สาธารณชนก็พึงพิจารณาว่านี่เป็นบทบาทในฐานะศิษย์เก่า หรือว่าเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่ตามล้างผลาญผม และหวังจะเข้ารับตำแหน่งแทน ทั้งที่อดทนรออีกหน่อย ผมครบวาระ 2 ปี ท่านค่อยมาสมัครแข่งขันก็ยังทัน

เรื่องที่ 5-เรื่องที่สื่อแจ้งความดำเนินคดีผมอีกคดี หาว่าผมหมิ่นประมาท

เรื่องนี้ พ.ท.พิสิษฐ์ ชาญเจริญ นายกสมาคมผู้สื่อข่าวจังหวัดขอนแก่น ได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับผมวันนี้หาว่าผมหมิ่นประมาท และทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ว่านางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช มอบเงิน 5,000 บาทให้สื่อที่เป็นคู่กรณีของผมเป็นการตกรางวัลกัน

เรื่องนี้สื่อเดือดเนื้อร้อนใจกันไปเอง เข้าทำนองตุ๊กแกกินปูนร้อนท้องหรือเปล่าครับ..

ตอนสื่อตีข่าวจะเอาผมให้จมดิน ท่านก็อ้างว่าเห็นภาพข่าวผม ”ว่อนเน็ต” สื่อเลยเอามาขยายขยี้ผมกันสนุกกันใหญ่เห็นผมเป็นเหยื่อ

พอผมเห็นภาพสื่อที่เป็นคู่กรณีของผมถ่ายภาพรับ-มอบเงิน 5,000 บาทกับอดีต ส.ว.ระเบียบรัตน์ “ว่อนเน็ต” บ้าง ผมก็ไม่ได้ไปกล่าวหาว่าใครมอบเงินใคร เพียงแต่ผมติงว่า ให้วางระยะห่างให้พอเหมาะพอสมด้วย ไม่เช่นนั้นคนจะเข้าใจผิดกันได้ เมื่อนายกสมาคมสื่อขอนแก่นชี้แจงมาว่า สื่อไม่ได้รับเงิน แต่เป็นฝ่ายมอบเงินคุณระเบียบรัตน์ไปทำกุศล ผมก็อนุโมทนาสาธุ และแก้ไขให้ไปเรียบร้อย จะหาว่าผมหมิ่นประมาทได้อย่างไร ต้องดูที่เจตนา

ผมเจตนาดี ท่านไปแปรเป็นเจตนาร้าย เพราะอคติ..อคติเพราะรัก กับอคติเพราะชัง

เพียงแต่ผมอยากชี้ให้สาธารณชนได้เห็นอย่างนี้คือ

1.คุณระเบียบรัตน์ ท่านออกมาวิจารณ์ผมอยู่ในเวลานี้ ในทางพาดพิงทำให้ผมเสียหาย

2.คุณระเบียบรัตน์ท่านเคยเป็นอดีต ส.ว. ลูกชายท่านก็เป็นอดีต ส.ส.ในพื้นที่เดียวกับผม พูดง่ายๆ ว่าเป็นคู่แข่งขันกันทางการเมืองกันกับผม

3.สื่อสนิทสนมกับคุณระเบียบรัตน์ไปมอบเงินช่วยการกุศลไม่พอ นายกสมาคมสื่อขอนแก่นยังเทิดทูนเรียกว่า ”แม่แดง” ด้วย

4.แต่ทีกับผมบ้างหละ มีเรื่องนักข่าวบุกรุกห้องทำงานผมขึ้นมา นายกสมาคมสื่อขอนแก่นไม่ต้องสอบสวนทวนความอะไรเลย ยังไม่มีใครไปร้องเรียนซะด้วยซ้ำ นายกสมาคมสื่อขอนแก่นก็ชิงออกแถลงการณ์ด่าว่าประณามผมเสียๆ หายๆ ไปแล้ว ทั้งที่ตำรวจก็ยังไม่ได้สอบ คำตัดสินของผู้ว่าราชการจังหวัดก็ยังไม่จบ

ท่านตัดสินชี้นำประชาชนไปแล้วว่าผมผิด และด่าว่าประณามเสียๆหายๆ

สื่อยังสรรหาสารพัดเรื่องมาหวังจะฆ่าผมให้ตายในทางการเมืองครับ ล่าสุดก็ไปยื่นต่อ ป.ป.ช. หลังจากพยายามไปวอแวคาดคั้นคุณปวีณา หงสกุล มาหลายวันแล้วไม่ได้รับการตอบสนอง และก็คงมีอีกสารพัดจะตามมา

ผมก็อยากให้สาธารณชนได้พิจารณาตามความเป็นจริงว่า ทั้งหมดนี้ สื่อทำอย่างนี้ชอบอยู่หรือครับ?

หลายท่านที่ปรารถนาดีกับผมก็บอกว่า ”หมอเงียบๆ ดีกว่า ยิ่งสู้ยิ่งเจ็บ” หรืออย่าไปสู้รบปรบมือกับสื่อเลย เพราะสู้เขาไม่ไหวหรอก เขามีปากกาเป็นอาวุธ เพราะสื่อท่านมีอาวุธครบมือทั้งปากกา ทั้งกระดาษ ทีวี วิทยุ มัลติมีเดียสารพัด ผมเองคงจะโดนเล่นงานจนงอมพระราม ตายไม่มีฟื้น

ชาวบ้านร้านช่อง และบุคคลสาธารณะในแวดวงต่างๆ ทั้งนักการเมือง ผู้บริหารในคณะรัฐบาล พ่อค้านักธุรกิจ ดารา นักร้อง นักแสดง ศิลปิน นักกีฬา สารพัดวงการ และพี่น้องประชาชนคนไทยนั้นต่างก็โดนสื่ออภิสิทธิ์ชนคุกคามข่มขู่จับแก้ผ้าต่อหน้าธารกำนัล ว่าประจานให้อับอายมานักต่อนักแล้ว โดยที่พวกเราก็ทนนิ่งทนเงียบกันมาตลอด เพราะเป็นเบี้ยล่างของสื่อ สู้ไปก็มีแต่ย่อยยับอัปรา

แต่ผมได้สลัดความกลัวนั้นทิ้งไปแล้ว และยืนหยัดขึ้นประกาศให้ทราบชัดกันทั่วกันว่า หมดเวลาที่เราจะหงออยู่ใต้อำนาจอธรรมของสื่อแล้วครับ และได้เวลานับหนึ่งในการปฏิรูปสื่อแล้ว

ส่วนสื่อค่ายไหน คนไหนดี มีจรรยาบรรณอันเคร่งครัด ทำมาหากินด้วยสุจริตโดยอาชีวะปฎิญาณ ท่านก็ไม่ต้องเดือดร้อนนะครับ ผมขอยกย่องสรรเสริญอย่างสุดใจ ผมไม่ได้คิดจะต่อว่าแบบเหมารวมแต่อย่างใด

และขอขอบคุณสื่อจำนวนมากที่กรุณาให้กำลังใจผม เพราะแวดวงสื่อกันเองก็เห็นความจำเป็นอยู่ว่า ต้องเดินหน้าปฏิรูปสื่อเช่นกันครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image