ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
สืบเนื่องกรณีการไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬ เพื่อสร้างสวนสาธารณะโดย กทม. ตามแผนแม่บทเมื่อ 50 ปีก่อน ซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อมานาน 24 ปี โดยมีความพยายามในการพูดคุยเพื่อหาทางออกหลายครั้ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ส.ค. มีการประชุมร่วมกันหลายฝ่ายที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ระหว่างเวลา 09.00-12.00 น. เนื้อหาสำคัญคือประเด็นทางออกกรณี ‘ปลดล็อค’ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเวนคืน ซึ่งกทม.เคยระบุว่าติดขัดที่ปัญหาดังกล่าว โดยหลังการประชุมเสร็จสิ้น ตัวแทนจากกทม.รับว่าจะนำข้อเสนอต่างๆรายงานต่อผู้บริหาร ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ให้ข่าวว่า ยืนยันจะรื้อชุมชนป้อมมหากาฬ ตามคำสั่งศาล ในวันที่ 3 ก.ย. โดยพล.ต.อ.อัศวินได้รับทราบข้อเสนอจากที่ประชุมที่กสม.แล้ว
เมื่อวันที่ 11 ส.ค. นายปฐมฤกษ์ เกตุทัต อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ แสดงความเห็นในประเด็นดังกล่าวว่า การที่พล.ต.อ.อัศวินยืนยันที่จะเดินหน้ารื้อชุมชนต่อไปนั้น ถือเป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง เนื่องจากเมื่อครั้งที่พล.ต.อ.อัศวินลงพื้นที่พูดคุยบริเวณลานกลางชุมชนในวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้กล่าวต่อหน้าชาวบ้านและสื่อมวลชนรวมแล้วกว่า 100 ราย ว่า ตนไม่สนใจว่าชุมชนจะอยู่ร่วมกับสวนหรือโบราณสถาน แต่ห่วงลูกน้องจะมีความผิดทางด้านกฎหมาย ทั้งยังเอ่ยปากสอบถามนักวิชาการที่มาร่วมในวันดังกล่าวให้ช่วยคิดหาทางออกด้วย แต่เมื่อนักกฎหมาย และนักวิชาการด้านต่างๆ ร่วมกันคิดทางแก้ไขให้แล้ว พล.ต.อ.อัศวินกลับยืนยันจะรื้อชุมชนต่อไป
“อยากถามว่าคำพูดของพล.ต.อ.อัศวินในฐานะรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไม่มีความหมายเลยหรือ วันนั้นมีพยานเป็นร้อย ใครๆก็ได้ยิน แต่พอกสม.รับจะช่วยหาทางปลดล็อคทางกฏหมายให้ มีการตั้งคณะกรรมการช่วยดูแลเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว ก็กลับให้ข่าวสวนทันควัน การดูแลคนหมู่มาก จะใช้แต่หลักนิติศาสตร์อย่างเดียวหรือ ทำไมไม่ใช้หลักรัฐศาสตร์ แล้วอย่างนี้จะบริหารเมืองได้อย่างไร ทำแบบนี้บ้านเมืองไม่สงบ สวนทางกับแนวทางของคสช.ที่ต้องการความปรองดอง” นายปฐมฤกษ์กล่าว และว่า ตนขอฝากถึงประเด็นนี้ถึงพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีด้วยว่ากทม.ควรได้รับการปฏิรูปได้แล้ว
ทั้งนี้ ในการประชุม เมื่อวันที่ 9 ส.ค. นายอภิชาต พงษ์สวัสดิ์ จากสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ได้นำเสนอทางออกเรื่องกฎหมาย โดยยืนยันว่ากฎหมายสามารถเปลี่ยนแปลงได้หากมีเหตุผลทางวิชาการรองรับ ซึ่งที่ผ่านมามีงานวิชาการ เช่น งานวิจัยที่กทม.ทำเอ็มโอยูลงนามร่วมกับม.ศิลปากร ในยุคนายอภิรักษ์ โกษะโยธินเป็นผู้ว่ากทม. โดยหลักการสามารถแก้ไขวัตถุประสงค์ได้ และมีแนวทางแก้หลายแนวทาง หนึ่งคือ แก้วัตถุประสงค์ให้ใช้พื้นที่เป็นสวนสาธารณะในรูปแบบพิพิธภัณฑ์บ้านไม้โบราณ และรักษาโบราณสถาน สอง คือ แก้ทั้งฉบับ แต่กทม.อาจต้องลงงบประมาณใหม่อีกครั้ง เพราะต้องจ่ายค่าชดเชยใหม่ในราคาที่ดินในวันประกาศใช้พรฎ.
นอกจากนี้ นายอภิชาต ยังกล่าวว่า ตนยินดีเป็นคณะทำงานด้นกฎหมายว่าจะแก้ไขพรฎ.ดังกล่าวอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่กทม.ติดขัดมาตลอด