เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 15 สิงหาคม ที่ศปก.บก.น.3 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ พร้อมนายวีรพงศ์ สาตนันท์ธปรีดา น้องชายผู้เสียหาย และครอบครัว เข้าร้องเรียนพล.ต.ต.ชัยพร พานิชอัตรา ผบก.น.3 ภายหลังนายโสภณ สาตนันท์ธปรีดา พี่ชายไปแจ้งความไว้ที่สน.ฉลองกรุง ถูกนายจักรี (ไม่ทราบนามสกุล)คนร้ายฉ้อโกงเงินกว่า1 ล้านบาท แต่ไม่มีความคืบหน้า
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า นายโสภณ ผู้เสียหาย ทำธุรกิจซื้ออะลูมิเนียมอัดก้อนโดยได้ติดต่อกับ “เจ๊ บ.”(ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง) เนื่องจากเห็นโฆษณา ได้แนะนำนายจักรีให้รู้จักกับนายโสภณ จึงมีการติดต่อมีการซื้อขายอะลูมิเนียมอัดก้อนในราคา 1,050,000 บาท โดยในวันส่งของมีการส่งของมาให้นายโสภณจริง แต่ได้มาไม่ครบเนื่องจากวันดังกล่าว เกิดไฟไหม้บริเวณใกล้เคียงโรงงาน ขณะเดียวกันคนขับที่ส่งของแจ้งนายโสภณว่าให้โอนเงินไปที่โรงงานที่จ.ลพบุรี ซึ่ง
นายโสภณเองได้โอนเงินให้นายจักรีไปแล้ว 1,000,000 บาท ภายหลังทราบว่าถูกหลอก ส่วนชื่อบัญชีที่โอนไปเป็นของน.ส. เอมอร (สงวนนามสกุล) เป็นนักศึกษาในจ.พะเยา จึงได้สืบหาข้อมูลจนพบตัวน.ส.เอมอร น.ส.เอมอรยืนยันว่าไม่เคยทราบเรื่องดังกล่าวมาก่อน จากการตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดก็พบบุคคลจำนวน 2 คน ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของบัญชีและไม่ได้รับมอบอำนาจไปเบิกเงิน ที่ธนาคารกสิกรไทยสาขาบิ๊กซี จ.น่าน นายโสภณจึงเข้าแจ้งความเมื่อเดือนมีนาคมแต่คดีความไม่คืบหน้า
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า พฤติกรรมดังกล่าวทางธนาคารกสิกรไทยและเอไอเอสปล่อยให้คนร้ายที่หลอกนำบัตรประชาชนของบุคคลอื่นไปเปิดบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาเชียงราย และมีการถอนเงินปลายทางที่ธนาคารกสิกรไทยสาขาบิ๊กซี จ.น่าน โดยที่น.ส.เอมอรเจ้าของบัตรไม่ทราบเรื่องมาก่อน รวมทั้งเอไอเอสที่ปล่อยให้คนร้ายนำบัตรประชาชนของน.ส.เอมอรที่หายไป มาลงทะเบียนซิมโทรศัพท์ใหม่ ซึ่งเป็นการปล่อยปละละเลยจึงเตรียมแจ้งความเอาผิดในฐานประมาทเลินเล่อ กับธนาคารรวมถึงค่ายโทรศัพท์มือถืออีกด้วย
ด้านพล.ต.ต.ชัยพร กล่าวว่า เจ้าหน้าที่จะเร่งติดตามคดีอย่างเต็มเตรียมเรียก “เจ๊ บ.”เข้าให้ปากกับเจ้าหน้าที่ถึงเรื่องดังกล่าวโดยขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามฝากเตือนประชาชนที่เล่นสื่อสังคมออนไลน์ให้มีความระมัดระวัง รวมถึงบุคคลที่ทำบัตรประชาชนหรือเอกสารสำคัญหายให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที่เพราะอาจตกเป็นเหยื่อของมิฉฉาชีพ