ศาลสั่ง’บ.พีทีที’จ่ายชดเชย203ร้านค้า-ประมงเกาะเสม็ด ท่อน้ำมันรั่วลงทะเล ทำลายระบบนิเวศ ท่องเที่ยวซบ

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 25 สิงหาคม ที่ห้องพิจารณา 501 ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีสิ่งแวดล้อมส่วนแพ่ง ที่นางสรชา วิเชียรแลง กับพวกรวม 223 ราย ผู้ประกอบการ ร้านค้าแผงลอย ชาวประมงพื้นบ้าน ผู้ประกอบกิจการเรือเร็ว โรงแรม และอื่นๆ ใน จ.ระยอง ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC บริษัทลูกของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และนายบวรวงศ์ สินอุดม ประธาน กก.บริหารบริษัทพีทีทีฯ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 1 พันล้านบาทเศษ ต่อมาศาลจำหน่ายคดีโจทก์ที่ 223 ที่เรียกค่าเสียหายถึง 1,000 ล้านบาทเศษออกจากสารบบ เนื่องจากเข้าสู่แผนฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมไปก่อนหน้านี้ คงเหลือโจทก์ 222 คน เรียกค่าเสียหายรายละ 300,000 ถึง 450,000 บาท พร้อมกับให้จำเลยร่วมกันฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมกับค่าเสียหายที่ไม่ใช่ตัวเงิน

กรณีเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 จำเลย ประกอบอาชีพธุรกิจน้ำมันได้ถ่ายน้ำมันดิบออกจากเรือบรรทุกน้ำมันที่จอดลอยลำบริเวณหน้าอ่าวมะพร้าว ต.เพ อ.เมือง จ.ระยอง ลงท่อขนาด 16 นิ้ว เพื่อส่งไปยังโรงกลั่นน้ำมัน ระหว่างนั้นท่อน้ำมันขนส่งเกิดชำรุด ทำให้น้ำมันดิบ 54,000 ลิตรรั่วไหลจากท่อส่งลอยตัวในน้ำทะเลครอบคลุมพื้นที่หมู่ 1 และหมู่ 2 ต.เพ ต.ปากน้ำ เกาะเสม็ด อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า ชายหาดบริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด หาดบ้านเพ จ.ระยอง เป็นเหตุให้สัตว์น้ำและพืชทะเลตาย ปะการังเสียหาย น้ำทะเลมีสารปรอท แคดเมียม และอื่นๆ ปนเปื้อน ทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้ามาเที่ยวนานนับปี ทำให้โจทก์ที่เป็นพ่อค้าแม่ค้า และผู้ประกอบการได้รับความเสียหายมาก พวกโจทก์จึงขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ตรวจสอบท่อน้ำมันตามมาตรฐานสากล หรือโอซีไอเอ็มเอฟ ที่ต้องตรวจสอบทุก 6 เดือน แต่จำเลยกลับไม่ยอมตรวจนานปีเศษ จนแกนโลหะที่พันเส้นใยชั้นในสุดของท่อขาดความยืดหยุ่นและไม่สามารถทนต่อแรงกดได้ คมโลหะจึงไปบาดท่อส่งจนรั่ว ทำให้น้ำมันดิบรั่วไหล และไม่ถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่จะยกเว้นความรับผิดได้ ขณะที่จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย

ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่า พวกโจทก์ไม่แสดงรายการรายรับ-รายจ่ายต่างๆ นั้น ศาลจึงกำหนดค่าเสียหายตามความเป็นจริง ทั้งนี้มีโจทก์ 19 รายที่ไม่นำพยานเข้าสืบให้ศาลเห็นถึงความเสียหายอย่างไร จึงพิพากษายกฟ้องในส่วนนี้

Advertisement

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1, 2 มีความรับผิดตามกฎหมายแพ่งฐานละเมิดมาตรา 420, 437 และ พ.ร.บ.ส่งเสริมรักษาสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 มาตรา 96 ให้ชดใช้เงินแก่โจทก์ผู้เสียหาย รวม 203 คน ที่มีพยานหลักฐานชัดเจนว่าได้รับความเสียหายจริง จากการที่ไม่สามารถประกอบอาชีพ ประมงชายฝั่ง การให้ บริการ และจำหน่ายสินค้าริมหาด รายละ 30,000 บาท ส่วนกลุ่มผู้ทำประมงและเรือท่องเที่ยวรายละ 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับแต่วันละเมิด และให้จำเลยทั้งสองดำเนินการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศรวม 4 โครงการ ในรูปแบบตั้งคณะทำงานร่วม กำหนดค่าดำเนินการไว้ 5.26 ล้านบาท และให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม สิทธิชุมชน ระบบนิเวศ บริเวณที่เกิดเหตุ 1 ชุด เป็นเวลา 2 ปี พร้อมกับรายงานศาลและกรมควบคุมมลพิษทราบทุก 6 เดือน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ค่าทนายความ ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image