แท้จริงแล้ว การนำเสนอ “เปรมโมเดล” ก็เสมอเป็นเพียงกระบวนท่าในแบบ
โยน “หิน” ถาม “ทาง”
ยิ่งเมื่อทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์ สุวรรณ ออกมาปฏิเสธ
เหตุผลก็คือ “ยังไม่ถึงเวลา”
ยิ่งเห็นความแจ่มชัดว่า เรื่อง “พรรคการเมือง” ยิ่งห่างไกลจาก ความคิด และความเป็นจริง
เมื่อ “พรรคการเมือง” ถูก “ปฏิเสธ”
นั่นเท่ากับช่วยให้ตัดกระบวนการลงสมัครรับ”เลือกตั้ง”ออกไปได้เลย
จะตั้งพรรคทำไมในเมื่อมี “พรรคประชาชนปฏิรูป” อยู่แล้ว
แม้ ณ วันนี้ อนาคตของ”พรรคประชาชนปฏิรูป” ยังมองไม่ออกว่าจะรุ่งโรจน์หรือรุ่งริ่ง
แต่ก็ยังมีอีกหลาย”พรรคการเมือง”เป็น”อะไหล่”ได้
เป็นที่รับรู้ว่ามีพรรคการเมืองจำนวนหนึ่งที่พร้อมเป็น “สมิงพระ ราม” อาสา
มิได้มีแต่ “พรรคประชาชนปฏิรูป”พรรคเดียว
ขอให้จับตาดูจังหวะก้าวการเคลื่อนไหวของ พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติพัฒนาให้ดี
2 พรรคนี้ก็มี “ความพร้อม”
ขอให้จับตาดูจังหวะก้าวการเคลื่อนไหวของ “พรรคประชาธิ ปัตย์” ในแบบไม่กะพริบตา
หากมีการเปลี่ยน “หัวหน้าพรรค” เมื่อไรก็ “ชัด”
แม้กระทั่ง “พรรคเพื่อไทย” ก็เถอะ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมก็อาจจะมีคน “เสนอตัว”
เสนอตัวเข้ามา “ประสาน” เสนอตัวเข้ามา “เชื่อม”
การเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สมควรให้ความสนใจอย่างเป็นพิเศษจะมี 2 การเคลื่อนไหวสำคัญ
1 การรุกไล่คนของ “พรรคเพื่อไทย”
เล่นกันเรียงตัวตั้งแต่ นายประชา ประสพดี ถึง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
สุดท้ายก็กักบริเวณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เป้าหมายก็คือ สร้างสภาวะระส่ำระสาย “ภายใน” แล้วเมื่อถึงจุดที่แน่นอน
ก็ส่ง “ชื่อ” ตัวบุคคลให้ “เลือก”
ขณะเดียวกัน 1 คือ การส่งผลสะเทือนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน “พรรคประชาธิปัตย์”
เป้าหมาย คือ “หัวหน้าพรรค”
หากเมื่อใดมีการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนตัวจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนอื่น
นั่นหมายถึง ความพร้อม ความเหมาะสม