เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนโยบายการลดระดับการควบคุมเมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้าจากสารเสพติดให้โทษประเภทที่1 เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภทที่ 2 ภายในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ที่อิมแพคเมืองทองธานี ว่า เรื่องนี้เป็นข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรม ดังนั้นต้องคุยกันในรายละเอียดทางวิชาการก่อนว่าหมายถึงอะไร ซึ่งต้องแยกให้ชัดว่า ระหว่างแอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีนอะไรจะลดระดับ หากเป็นเมทแอมเฟตามีนนั้นจะถือเป็นสารเสพติด แต่ถ้าเป็นแอมเฟตามีนนั้นสามารถเอามาใช้รักษาโรคทางการแพทย์ได้ เพราะฉะนั้นหระทรวงสาธารณสุขจะต้องคุยกับกระทรวงยุติธรรมหาข้อมูลให้ชัดเจน
นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า จากการพูดคุยกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงยุติธรรม ในการร่างกฎหมายกรณีหากจะเปลี่ยนแอมเฟตามีนจากยาเสพติดประเภทที่ 1 เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภทที่ 2 โดยมีการตั้งคณะกรรมการออกเป็น 2 ชุด ชุดที่ 1 ดูแลในเรื่องการปรับกฎหมาย โดยปลัดกระทรวงยุติธรรม และ ชุดที่ 2 ดูแลในเรื่องการเตรียมบำบัดรักษาผู้เสพ โดยปลัดกระทรวงสาธารณสุข เบื้องต้นจาการพูดคุยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเห็นตรงกันว่า ต้องมีการปรับโทษประเภทของสารแอมเฟตามีนดังกล่าว เพื่อให้สามารถนำมาใช้ทางการแพทย์ได้ ส่วนจะใช้ได้มากน้อยและจะควบคุมอย่างไร ขณะนี้อยู่ระหว่างการพูดคุยกับทางกระทรวงยุติธรรมเพื่อหารายละเอียดที่ชัดเจนต่อไป อย.มีหน้าที่ดูเรื่องการควบคุมการใช้เท่านั้น ส่วนในเรื่องการบำบัดผู้ใช้สารดังกล่าว ต้องเป็นหน้าที่ของทางกระทรวงสาธารณสุข
นพ.วิศิษฎ์ ตั้งนภากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ในกระบวนการอยู่ระหว่างการร่างกฎหมายลดโทษทางอาญาผู้ใช้สารเสพติดเข้าสู่ระบบการรักษภายใต้แนวคิด “ผู้เสพคือผู้ป่วย” มีความชัดเจนในทิศทางการบำบัดรักษา โดยเฉพาะผู้ป่วยในกลุ่มที่ใช้สารแอมเฟตามีน ต้องขอความร่วมมือเป็นพิเศษกับทางกระทรวงยุติธรรม การรักษาถึงจะสัมฤทธิ์ผล อย่างไรก็ตามต้องอาศัยความร่วมมือและยินยอมเข้ารักษาจากผู้ป่วยด้วย เพราะสารชนิดนี้เมื่อรับเข้าไปสู่ร่างกายจะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท หากไม่ได้รับความยินยอมเป็นเรื่องยากในการรักษา ส่วนจะบังคับใช้มาตรา 44 หรือไม่อยู่ที่ผู้ใหญ่จะพูดคุยกัน
