เมื่อวันที่ 2 กันยายน นายอดิศร เนาวนนท์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา กล่าวว่า กรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีต สปช. ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการจัดเลือกตั้งใหม่ โดยไม่ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งลงพื้นที่หาเสียง แต่ให้ กกต.เป็นผู้จัดการหาเสียงให้แทน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สมัครได้มีโอกาสเข้าไปซื้อสิทธิขายเสียงนั้น
นายอดิศรกล่าวว่า นายไพบูลย์ก็มีเจตนาดีโดยถอดบทเรียนจาก 2 เรื่อง ได้แก่ 1.จากการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ซึ่งไม่มีการซื้อสิทธิขายเสียงเลยแม้แต่น้อย และ 2.การเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งปล่อยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งลงพื้นที่หาเสียงเอง ก่อให้เกิดการซื้อสิทธิขายเสียงอย่างกว้างขวาง แต่ขณะเดียวกันในความคิดของตน ก็เห็นแย้งว่าการนำหลักการนี้มาใช้ในการเลือกตั้งของประเทศไทย ประเด็นแรกถ้าจะไม่ให้หาเสียงเอง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันหรือแก้ไขการซื้อสิทธิขายเสียงได้เลย เพราะการซื้อสิทธิขายเสียงนั้น มันเป็นกระบวนการในทางลับ และเป็นการสมยอมกันระหว่างผู้ให้กับผู้รับ แม้ว่าจะไม่ให้เขาไปก็ยังมีช่องทางอื่น เช่น กลไกหัวคะแนน ที่พร้อมจะทำงานแทนอยู่แล้ว ไม่มีใครไปซื้อสิทธิขายเสียงขณะเดินหาเสียงแน่นอน
“ประเด็นที่ 2 ถ้าจะให้ กกต.เป็นผู้จัดพื้นที่เวทีกลางให้หาเสียง ก็ต้องมามองว่าการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา กกต.ก็มีปัญหาเรื่องการให้ข้อมูลกับประชาชนได้อย่างไม่ทั่วถึง แล้วจะทำอย่างไรถึงจะรับประกันว่า กกต.จะสามารถให้ข้อมูลผู้สมัคร ส.ส.ให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึงเป็นพอและเป็นธรรม ประเด็นที่ 3 การที่ประชาชนคนหนึ่ง จะเลือกตัวแทนของตนเอง ในการไปเป็น ส.ส.ถ้าว่ากันตามหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คนที่จะเป็น ส.ส.ต้องรู้จักมักคุ้นกับประชาชนพอสมควร ทั้งในแง่เกียรติประวัติผลงานที่เคยทำมา และคุณลักษณ์ความซื่อสัตย์สุจริตที่ประชาชนต้องสัมผัสได้ พูดง่ายๆ คือ ถ้าไม่ได้รู้จัก คลุกคลี คุ้นหน้าคุ้นตากัน ไม่ได้พูดคุยด้วย และไม่ได้ฟังแง่คิดต่างๆ ผ่านการพูดจาปราศรัย เพียงการนำเสนอผ่านสื่ออื่นๆ ที่ไม่ได้เห็นตัวเป็นๆ กัน ทำให้ประชาชนตัดสินใจเลือกยาก เพราะกลัวจะไม่ได้ผู้แทนที่มีคุณสมบัติตามที่ตนเองต้องการนั่นเอง โดยเฉพาะ ส.ส. ต้องรู้จักการนำข้อมูลปัญหาจากประชาชนไปเสนอผ่านการพูดอภิปรายในรัฐสภา ถ้าไม่ได้ใกล้ชิดกับประชาชนแล้วจะเป็นผู้แทนประชาชนได้อย่างไร” นายอดิศรกล่าว
