เมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีนายธวัชชัย อนุกุล อดีตเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพังงา สาขาท้ายเมือง ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในคดีพิเศษที่ 44/2558 ผูกคอเสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัวของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า ในวันนี้ได้รับรายงานจากนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ว่าในส่วนของกระทรวงยุติธรรมนั้น จะตั้งคณะกรรมการกลาง เป็นคณะกรรมการที่จะเชิญผู้แทนจากหน่วยงานกระทรวงมาร่วมตรวจสอบในประเด็นการเสียชีวิตของนายธวัชชัย ส่วนรายละเอียดว่าจะมีหน่วยงานใด หรือใช้เวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเท่าใดนั้น ขอให้ไปสอบถามปลัดกระทรวงยุติธรรม เพราะตนเป็นเพียงผู้มอบนโยบายในเรื่องนี้เท่านั้น จึงไม่ทราบในรายละเอียด
พล.อ.ไพบูลย์กล่าวต่อว่า ส่วนการที่ตนต้องการให้มีหน่วยงานนอกกระทรวงมาร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น เพราะการให้ดีเอสไอสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเพียงหน่วยงานเดียว เมื่อได้ข้อสรุปแล้วถึงจะบอกได้ว่าจริงหรือไม่ คงไปตอบให้สังคมยอมรับในข้อสงสัยไม่ได้ ตนจึงบอกว่าควรจะมีหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันตรวจสอบ และทุกขั้นตอนที่ทำควรจะมีญาติเข้าดูด้วย ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ได้รับรายงานว่า คณะกรรมการตรวจสอบของดีเอสไอได้สอบสวนเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 คนที่อยู่ในห้องควบคุมผู้ต้องหาในวันที่เกิดเหตุมาสอบปากคำด้วยการนำเข้าเครื่องจับเท็จแล้ว ตนได้สอบถามอธิบดีดีเอสไอว่า ในขั้นตอนดังกล่าวได้เชิญญาติของผู้เสียชีวิตมาดูด้วยหรือไม่ อธิบดีดีเอสไอบอกว่า ไม่ได้เชิญมา ตนจึงบอกว่า ทำไมไม่เชิญมา เพราะถ้าเราทำทุกอย่างให้เกิดความโปร่งใสจะได้สบาย ดังนั้นจึงสั่งไปว่า หากสามารถเชิญญาติมาร่วมฟังการสอบสวนได้โดยไม่ผิดกฎหมายให้เชิญมา เพื่อให้เขาเห็นทุกขั้นตอน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีระบุว่า จะให้มีการรื้อคดีที่ดินของผู้ต้องหา พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า อาจเป็นคนละประเด็น การรื้อคดีนั้นเป็นประเด็นที่ตนให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน เนื่องจากสื่อมวลชนถามในประเด็นที่ว่า การเสียชีวิตดังกล่าวอาจเป็นการฆ่าตัดตอนหรือไม่ จึงเล่าให้ฟังว่า สงสัยในคดีนี้ตั้งแต่แรกคนร้ายทำความเสียหายให้แก่รัฐ 10,000 ล้านบาท ตนได้ถามกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่าและเขาอยู่ได้อย่างไร ทำไมไม่ใช้กฎหมายยึดทรัพย์เข้าไปจัดการ สามารถทำได้หรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าทำได้ เลยบอกว่าถ้าทำได้ทำไมไม่แจ้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้เข้ามาดำเนินการในส่วนนี้
พล.อ.ไพบูลย์กล่าวต่อว่า จึงบอกให้นำคดีที่อยู่ในดีเอสไอทั้งหมดที่เชื่อมโยงในลักษณะนี้มาให้ตนดู และไปชี้แจงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบทั้ง ปปง. กรมที่ดิน โดยให้จัดการให้เป็นระบบ ไม่ใช่ว่าอะไรมาก็นิ่งหมด เพราะเรื่องมันเกิดก่อนที่ตนจะเข้ามาตั้ง 6-7 ปี เป็นการรื้อคดีในลักษณะนี้มากกว่า ไม่ใช่ไปรื้อของกระทรวงอื่น ตนจะทำเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับกระทรวงของตน นอกกระทรวงไม่ทำ แต่ถ้าไปเกี่ยวกับหน่วยงานอื่น จะขอให้ร่วมกันทำ
เมื่อถามถึงกรณีญาติของผู้เสียชีวิตจะนำศพไปให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ รพ.ธรรมศาสตร์ ชันสูตรศพ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ทำได้หมด ถ้าเป็นเรื่องสิทธิที่ญาติสงสัยสาเหตุการตายก็ต้องให้เขาทำ
“ผมยังตกใจเลยที่ได้ยินข่าววันแรกเลยว่าญาติเขาจะเผาศพ ผมยัง เอ๊ะ ทำไมญาติจึงรีบเผา ผมพูดเองเลยว่าเผาทำไม เพราะยังเป็นประเด็นกันอยู่เลย เดี๋ยวยุ่งกันใหญ่ เราเองที่เป็นคนเตือนด้วยซ้ำไป ทางอธิบดีดีเอสไอไม่ทราบด้วยว่าญาติจะเผาศพ จึงบอกให้อธิบดีไปบอกญาติว่าอย่าเพิ่งเผา ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะไม่จบ ถ้าญาติยังสงสัยทำไมจึงเร่งร้อนที่จะเผาศพ ผมก็งง และไม่เข้าใจ ผมบอกว่าน่าจะทำเรื่องนี้ให้ใสสะอาดก่อน เพราะการเผาเป็นปัญหาใหญ่ หลักฐานมันอยู่ในนั้น” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ดีเอสไอจะต้องมีส่วนในการรับผิดชอบในเรื่องนี้หรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ เขาผิดหรือไม่ ถ้าเขาผิดก็ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าเขาไม่ผิดจะไปรับผิดชอบอะไร ถ้าวันนี้ดีเอสไอต้องรับผิดชอบจะรับผิดชอบเรื่องอะไร วันนี้ยังไม่รู้ว่าใครผิดก็ต้องปล่อยให้กระบวนการตรวจสอบก่อน แต่ถ้าทราบว่าใครผิดและผู้บังคับบัญชาไม่ลงโทษ เมื่อถึงตอนนั้นสังคมจึงค่อยมาพูดว่าทำไมไม่ลงโทษ ทำไมไม่รับผิดชอบ วันนี้มันยังไม่ใช่ ถ้าเรื่องนี้มันเป็นความจริงในกรณีที่เขาผูกคอเสียชีวิตเอง และเจ้าหน้าที่มาปั๊มหัวใจจนซี่โครงหัก และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะต้องรับผิดชอบอะไร เพราะเป็นการช่วยชีวิตคน ถ้าดีเอสไอไปทำให้เขาเสียชีวิตตามที่สังคมสงสัย เจ้าหน้าที่ดีเอสไอก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว เป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รับผิด วันนี้ต้องคอยผลตรวจสอบ และที่รับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่คือต้องชี้แจงให้สังคมเข้าใจให้ได้ โดยให้ได้คำตอบให้ชัดเจน และต้องทำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
