ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
ชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร ยุคแรกๆ มีสภาพใกล้เคียงกับภาพสองฝั่งคลองมองเห็นภูเขาทอง
ลักษณะชุมชนแบบนี้ บางทีเรียกสะเทินน้ำสะเทินบก หมายถึงมีเรือนแพลอยน้ำอยู่ริมตลิ่ง แล้วมีโรงเรือนต่อเนื่องขึ้นไปบนฝั่งขึ้นบก
ของเก่ารื้อทิ้ง แล้วสร้างใหม่
ราว 30 ปีมาแล้ว ราชการส่วนภูมิภาคกำลังคลั่งค้นหาโบราณสถานประจำท้องถิ่น เพื่อฟื้นฟูเป็นแหล่งท่องเที่ยว ตามนโยบายส่วนกลาง
เพื่อนผมเป็นนายอำเภอในจังหวัดหนึ่งไกลมากจากกรุงเทพฯ วันหนึ่งเขาแวะมาคุยด้วย แล้วสอบถามเรื่องป้อมประตูคูเมืองโบราณของอำเภอนั้น
ผมบอกว่า ในอำเภอที่เขาเป็นนายอำเภอ มีเมืองโบราณที่ผมเคยไปสำรวจนานแล้ว มีแนวคูน้ำคันดิน ผังรูปวงรีไม่สม่ำเสมอ
“มีประตูเมืองไหม” เพื่อนที่เป็นนายอำเภอถามอย่างกระตือรือร้น
“มีซี่วะ ถ้าไม่มีประตูเมือง แล้วคนยุคนั้นจะเข้าออกเมืองทางไหนล่ะ”
“ประตูเมืองหน้าตายังไง”
“ไม่พบหลักฐานชัดเจน เพราะถูกไถทิ้งหมดนานแล้ว แต่เดาว่าน่าจะเป็นช่องเหมือนทางเข้าหมู่บ้านแต่ก่อนที่ทำดีหน่อย มีประดับตกแต่งบ้างไว้เป็นที่ทำพิธีกรรม”
“เหมือนประตูเมืองเชียงใหม่ในรูปถ่ายไหม เหมือนรูปถ่ายกรุงเทพฯ เก่าๆ ไหม” เพื่อนที่เป็นนายอำเภอซักเพิ่มเติม
“ไม่เหมือน เพราะยังไม่ก่อด้วยอิฐ แต่ถมเป็นเนินดิน”
“ป้อมปืนมีไหม” นายอำเภอถาม
“ไม่มี ยุคนั้นของเมืองนี้ยังไม่รู้จักปืนใหญ่แบบฝรั่ง และไม่เคยพบหลักฐานจากที่อื่นๆ ทั้งแถบนั้นว่าเคยมีป้อมปืนบนกำแพงดิน”
“เหมือนป้อมบนกำแพงเมืองเชียงใหม่ที่เหลือซากไหม”
“ไม่เหมือน และไม่มีซากเหลือเป็นป้อม เพราะเป็นกำแพงก่อด้วยดิน”
“มีประตูเมืองไหม” เพื่อนนายอำเภอถามกลับไปที่ประตูเมืองบ่อยๆ
“ทำไมติดใจเรื่องประตูเมืองนักวะ” ผมสงสัยมาก
“อยากทำประตูเมือง อยากฟื้นฟูขึ้นใหม่” เพื่อนนายอำเภอตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ หวังให้ผมสนับสนุน
“รับนักท่องเที่ยวใช่ไหม” ผมถาม
“ใช่” เขาตอบ
“ทำไมเพิ่งคิดจะทำ”
“นายเพิ่งสั่ง” เพื่อนผมหมายถึงผู้ว่าฯ, อธิบดี, ปลัดกระทรวง
“เคยมีก็ทำลายหมด” ผมพยายามกลั้นอกกลั้นใจพูดกับเพื่อนอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่เคยทำ “พอหมดแล้ว อยากมี เลยต้องหาวิธีทำของปลอมๆ หลอกๆ ไปวันๆ ไอ้ชิบหาย”