กรณี นายสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องคำพิพากษาจำคุก 20 ปี นำไปสู่มุมที่ แตกต่างกันเป็นจำนวนมาก
ไม่เพียงแต่ต่อชะตากรรม นายสนธิ ลิ้มทองกุล
หากที่สำคัญเป็นอย่างมากยังต่ออนาคตและการดำรงอยู่ของพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย
บ้างก็มองว่า จะยัง “เดินหน้า” ต่อไปหรือไม่
บ้างก็มองว่า ชะตากรรม นายสนธิ ลิ้มทองกุล เท่ากับเป็นการจุดชนวนใหม่
พลิกฟื้น “พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย”
ทั้งๆที่ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรประชาชน เพื่อ ประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นนปช. ไม่ว่าจะเป็นกปปส.ล้วนมีบทบาทที่แน่นอน
เป็นไปตามกฎแห่ง “อนิจจัง” เป็นไปตามกฎแห่ง”การเปลี่ยนแปลง”
นั่นก็คือ มีเกิดแล้วก็ย่อม “ดับ”
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีกำเนิดขึ้นในสถานการณ์ ทางการเมืองที่แน่นอน 1
นั่นก็คือ สถานการณ์ที่มี”พรรคไทยรักไทย”
เมื่อสามารถสร้างสถานการณ์กระทั่งนำไปสู่รัฐประหารและโค่นล้มพรรคไทยรักไทยได้เมื่อเดือนกันยายน 2549
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็หมดบทบาท
บางคนอาจโต้แย้งว่า หากหมดบทบาทไฉนพันธมิตรประชา ชนเพื่อประชาธิปไตย จึงก่อปรากฏการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2551 ได้อีก
นั่นก็เนื่องจากชัยชนะของพรรคพลังประชาชนในการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550
ปรากฏการณ์นี้เพื่อล้ม “พรรคพลังประชาชน”
จำเป็นถึงกับต้องยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินดอนเมือง ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
แต่เมื่อยุบพรรคพลังประชาชนทุกอย่างก็จบ
มีความพยายามของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการ เคลื่อนไหวเรื่องเขาพระวิหาร เรื่องพลังงาน
แต่ก็ไม่ “เวิร์ค”
นับจากหลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 เป็นต้นมา บทบาทของพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ที่มีอยู่จึงดำเนินไปในสภาพอันเรียกว่า
“พลังเฉื่อย”
เฉือยกระทั่ง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกลอบสังหารกลางเมืองในเดือนเมษายน 2552
เฉื่อยกระทั่ง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องเดินขึ้นโรงขึ้นศาลจากคดีที่ก่อขึ้นเป็นจำนวนมากมาย
ในที่สุด ก็ต้องเดินเข้าคุกตามคำพิพากษา
เท่ากับตอกย้ำ ยืนยันว่า ที่ควรจะจบก็จำเป็นต้องจบ