นร.ยันไม่ใช่อุบัติเหตุ ครูพละจงใจปาเเก้วใส่ศีรษะโดยตรง เผยครอบครัวต้องหายืมเงินเพื่อรักษา

จากกรณีว่าที่ร.ต.นิพนธ์ ภักดีแก้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนโชคชัยสามัคคี ชี้แจงเรื่องครูสอนวิชาพละศึกษาของโรงเรียนขว้างปาถ้วยแก้วถูกกกหูด้านซ้ายของนางสาวนฤดี จอดสันเทียะ หรือน้องทราย อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนโชคชัยสามัคคี อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ว่าช่วงเกิดเหตุเด็กนักเรียนหลายคนยืนไม่เป็นระเบียบ และพูดคุยกันส่งเสียงดัง ครูพละจึงใช้แก้วน้ำเขวี้ยงปาไปใส่กำแพงเพื่อปรามให้เด็กเงียบลง แต่เมื่อแก้วน้ำปาไปถูกกำแพงกลับได้กระเด็นไปโดนศีรษะของเด็กนักเรียนจนได้รับบาดเจ็บนั้น กล้ามเนื้อบวมทับเส้นประสาทคู่ที่ 7 ส่งผลให้ใบหน้าเสียโฉม ปากเบี้ยว ตาซ้ายปิดไม่สนิท (คลิกข่าว : ตั้งกก.สอบครูพละปาแก้วใส่นร.จนหน้าเบี้ยว ผอ.รับเกิดขึ้นจริง ล่าสุดตกลงค่าเสียหายไม่ได้)

ล่าสุด นางสาวนฤดี จอดสันเทียะ หรือน้องทราย ให้สัมภาษณ์ว่า กรณีที่ผู้อำนวยการโรงเรียนโชคชัยสามัคคี ได้ออกมาปกป้องนายไพฑูรย์ แกลงกระโทก ครูพละคู่กรณี โดยให้เหตุผลว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ จากการขว้างแก้วกาแฟใส่กำแพงแล้วแก้วกระเด็นมาโดนศีรษะนักเรียน ตนยืนยันว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ เป็นการขว้างแก้วกาแฟมาใส่ศีรษะตนโดยตรง และเพื่อนๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เห็นเหมือนกันทั้งหมด

“ทั้งนี้เนื่องจากครูพละคนนี้เป็นคนขี้โมโหอารมณ์ร้ายเสมอ ซึ่งวันดังกล่าวยังได้ออกมาด่าทออย่างรุนแรงอีกด้วย แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไร หลังเกิดเหตุยังคงเข้าเรียนหนังสือตามปกติ ทั้งที่รู้สึกปวดหัว จนกระทั่งต่อมาได้มีอาการปากเบี้ยว ตาเบี้ยว เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ครูพละคนดังกล่าวก็ยังไม่เคยโทรศัพท์มาสอบถามอาการ และไม่เคยมาเยี่ยมแม้แต่ครั้งเดียว มีเพียงผู้อำนวยการโรงเรียน ที่นำช่อดอกไม้มาเยี่ยมให้กำลังใจเพียง 2 ครั้งเท่านั้น” นางสาวนฤดี กล่าว

นางสาวนฤดี กล่าวอีกว่า ส่วนการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลนั้น ทางโรงเรียนได้ช่วยเหลือจริง แต่เป็นการช่วยเหลือครั้งละไม่มากนักซึ่งไม่เพียงพอ จนผู้ปกครองของตน ต้องไปหายืมเงินเพื่อนบ้าน เพื่อมาสำรองจ่ายล่วงหน้าไปก่อน และมาทวงเอากับผู้อำนวยการโรงเรียนทีหลัง ซึ่งสภาพการที่ต้องมาแบมือทวงเงินเช่นนี้ดูแล้วน่าสมเพช ทั้งที่ตนเองเป็นผู้เสียหายซึ่งต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างดีที่สุด ดังนั้นครอบครัวจึงเรียกร้องค่าใช้จ่ายเป็นเงินก้อนเดียวเลย จำนวน 300,000 บาท เพื่อที่จะนำมาใช้รักษาพยาบาลให้หายด้วยตนเอง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธและยังมีการต่อรองเหลือแค่ 80,000 บาท โดยให้เหตุผลว่าเป็นแค่นี้แต่เรียกเงินมากเกินไป ทำให้วันนี้ (13 ก.ย. 59) ตนได้ตัดสินใจพาครอบครัวมาร้องเรียนกับมูลนิธิปวีณาฯ เพื่อขอความเป็นธรรม และพร้อมที่จะสู้ให้ถึงที่สุด ซึ่งสัปดาห์หน้าตนต้องสอบแล้วอาจจะอ่านหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะเครียดกับเรื่องนี้มาก

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image