เมื่อวันที่ 7 ก.พ. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ใช้งบจัดการประชุมต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จำนวน 1.8 ล้านบาท ทั้งที่ใช้เวลาประชุมเพียงแค่ 4 ชั่วโมง ว่า เป็นการใช้งบประมาณมากเกินไปและดูไม่เหมาะสม อีกทั้งไม่ตรงกับค่านิยม 12 ประการ ข้อ 10 ที่ระบุให้ประชาชนใช้จ่ายอย่างพอเพียงและประหยัด หากมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบจริง ไม่ต้องการให้สอบเพียงกระทรวงการท่องเที่ยวฯ แต่ควรตรวจสอบตั้งแต่ปี 57 ที่ พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาเป็นรัฐบาล มีการประชุมไปกว่า 3 ครั้ง
ขณะที่ปี 58 มีการประชุมทุกเดือน จนถึงปี 59 อีก 2 ครั้ง รวมแล้วมีการประชุมหัวหน้าส่วนราชการกว่า 15-17 ครั้ง ควรเปิดเผยทั้งหมดว่าแต่ละกระทรวงเสียค่าใช้จ่ายในการประชุมครั้งละเท่าใด แพงเท่ากระทรวงการท่องเที่ยวฯหรือไม่ หากไม่แพงเท่า รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ต้องชี้แจง อย่างไรก็ตาม หากใช้จำนวนเงินไม่ต่างกันนัก คงต้องพิจารณาว่าทำไมใช้จ่ายงบประมาณโดยไม่ประหยัด และลองเทียบดูว่ารัฐบาลก่อนหน้าใช้จ่ายอย่างไร ถ้าใช้จ่ายคล้ายกันก็ควรหาทางไม่ให้เกิดผลกระทบขึ้นอีก
“ใช้เวลาจัดสถานที่เฉพาะช่วงเวลาแป๊บเดียวแต่หมดเงินเป็นล้าน ควรนำเงินไปใช้เป็นทุนการศึกษาเด็กจะดีกว่าหรือไม่ ดูจากประวัติข้อมูลข่าวสารทางราชการ เห็นประชุมเกือบทุกเดือนเช่นกระทรวงการคลัง เป็นเจ้าภาพ กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพ กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพ หากเป็นเจ้าเดิมทำครั้งละ 1.8 ล้านบาท ต้องดูว่ามีการจัดเก็บภาษีครบถ้วนหรือไม่ จะไปชี้ผิดชี้ถูกเลยคงยังไม่ใช่” นายเรืองไกรกล่าว
และว่า “อยากให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำหนังสือเอกสารราชการที่เชิญชวนแต่ละครั้ง และงบประมาณที่ใช้มาเปิดเผยให้ประชาชนทราบว่ามีค่าใช้จ่ายอย่างไร เรื่องนี้เป็นงบรายจ่าย ไม่ใช่งบลงทุน ซึ่งงบรายจ่ายสามารถเปิดเผยสู่สาธารณชนได้ จะได้ดูว่ามีการจ้างงานซ้ำซ้อนหรือไม่ วงเงินต่างกันอย่างไร คุ้มค่าหรือไม่ หากไม่คุ้มค่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะเข้าไปดูหรือไม่ เพราะเป็นหน้าที่โดยตรงของ สตง.ที่ต้องเข้าไปตรวจสอบ โดย สตง.ต้องรวบรวมข้อมูลทุกกระทรวงที่ประชุมทุกเดือนมาดู หากทำไม่ได้ ตนจะทำให้ฟรี 7 วันก็เสร็จ แต่ต้องส่งรายละเอียดทั้งหมดมาให้ตนอย่างครบถ้วน”
