เมื่อวันที่ 19 กันยายน พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยถึงกรณีที่นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดศธ. จะเสนอแนวทางการปรับโครงสร้าง ศธ.ให้แยกสกอ.ออกมาเป็นกระทรวงการอุดมศึกษาใน 3 วิธี คือ 1.ยกร่างพ.ร.บ.กระทรวงการอุดมศึกษาซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีก่อนประกาศใช้ 2.ปรับร่างกฎหมายที่เคยยกร่างไว้โดยผนวกคำสั่งของหัวหน้า คสช.ที่ 39/2559 และขอใช้อำนาจหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.)ทำหน้าที่เป็นกระทรวงการอุดมศึกษาไปพลางก่อน และให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ. รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาอีกตำแหน่ง ระหว่างนี้ยกร่าง พ.ร.บ.กระทรวงการอุดมศึกษาไปด้วย และ3.ยังไม่ต้องยกร่างพ.ร.บ. แต่ใช้คำสั่งตามมาตรา 44 ให้ สกอ.มีอำนาจเป็นเอกเทศ มีอำนาจบริหารงานเช่นเดียวกับกระทรวง เช่นเดียวกับวิธีที่ 2 นั้น ว่า ตนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ จึงได้มอบนพ.กำจร ไปศึกษาเพื่อเตรียมข้อมูลไว้ให้รัฐบาลชุดหน้าดำเนินการต่อ ส่วนที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยและนักวิชาการมองว่าควรดำเนินการแยกให้แล้วเสร็จในรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลหน้าอาจไม่ทำนั้น ไม่อยากให้ไปกังวล เราต้องศึกษาให้รอบคอบก่อนว่าการแยกหรือไม่แยก มีข้อดีข้อเสียอย่างไร หากต้องแยกสกอ.ออกไป ควรดำเนินการในรูปแบบใด
“การวางตุ๊กตาแยกสกอ.ออกจากศธ.ในรัฐบาลหน้า ก็คงไม่มีปัญหาอะไร อย่าไปกลัวผีที่มองไม่เห็น การแยกสกอ.ออกจากศธ.อีกครั้ง ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเคยมีการรวมแล้วแยกมหาวิทยาลัยออกจากศธ.เป็นทบวงมหาวิทยาลัย แล้วก็รวมทบวงเปลี่ยนชื่อเป็นสกอ.มาอยู่ในศธ. และก็กำลังคิดจะแยกสกอ.ออกไปจากศธ.อีกครั้ง ซึ่งเหมือนเป็นการถอยหลัง ดังนั้นหากผมจะถอยหลังเข้าคลอง ผมก็ต้องมีเหตุผลว่าทำไมถึงถอยเรือเข้าคลอง ถ้าคิดอะไรเร็วไป ก็จะถูกต่อว่าได้” พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าวและว่า จากนี้จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2559 ศธ.จะต้องเร่งทำกฎหมายลูก เพื่อให้ทันร่างธรรมนูญประกาศใช้ ซึ่งการปรับโครงสร้างใหญ่ของศธ. คงไม่สามารถดำเนินการได้ทันเพราะเวลามีจำกัด
