นรม.พบภาคธุรกิจมะกัน ย้ำรบ.ปฏิรูปศก.การค้า จูงใจนักลงทุน ด้านนักธุรกิจสหรัฐชี้เตรียมลงทุนเพิ่ม

เมื่อวันที่ 22 กันยายน ตามเวลาในสหรัฐ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางมาเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้หารือกับสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ (Business Council for International Understanding หรือบีซีไอยู) โดยมีเอกชนชั้นนำของสหรัฐ อาทิ กลุ่มการเงิน กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ กลุ่มโทรคมนาคมและการสื่อสาร และอุตสาหกรรมค้าปลีก เข้าร่วมหารือ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหรัฐที่มีมายาวนาน พร้อมขอบคุณบีซีไอยูที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและขยายการลงทุนในไทย ซึ่งสะท้อนว่าภาคเอกชนในสหรัฐยังคงให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจของไทย

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไทยมีความสำคัญต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน โดยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้ไทยยังเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญ (connectivity hub) ในทุกทางทั้งต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงไปจนถึงจีนตอนใต้ และต่ออาเซียนโดยรวม ซึ่งภาคเอกชนสหรัฐสามารถใช้จุดแข็งของประเทศไทยให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อธุรกิจและต่อภูมิภาคได้อย่างเต็มศักยภาพ

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า รัฐบาลได้ผลักดันการลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาความเชื่อมโยง อาทิ การปรับปรุงท่าเรือและสนามบินในประเทศ การปรับปรุงถนนและการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ ไปจนถึงจีนตอนใต้ ทั้งการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกที่ทวาย ทั้งการพัฒนาทางรถไฟความเร็วสูง การวางเครือข่ายดิจิตัล และการปรับปรุงท่าอากาศยานและท่าเรือในประเทศทั้งท่าเรือสัตหีบ แหลมฉบัง และมาบตาพุด เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางท่าเรือของภูมิภาค

Advertisement

“ในส่วนของเศรษฐกิจ ไทยสนับสนุนแนวทางการค้าเสรีและการลงทุนจากต่างประเทศมาโดยตลอด และมุ่งปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนการประกอบธุรกิจ เช่น การปฏิรูประบบภาษีอากรและศุลกากรให้โปร่งใสและทันสมัยขึ้น การปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุน การปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนในเมืองและระบบโลจิสติกส์ การขยายเครือข่ายโทรคมนาคมและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายดิจิตัล เพื่อเอื้ออำนวยให้การประกอบธุรกิจของนักลงทุนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศสะดวกขึ้น (ease of doing business)”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

image

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า รัฐบาลมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่จะยกระดับประเทศไทยให้หลุดออกจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง โดยได้กำหนดอุตสาหกรรมที่ไทยดำเนินการได้ดีอยู่แล้ว 5 สาขาเพื่อใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมพัฒนาให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และการแปรรูปอาหาร ขณะเดียวกัน ฝรัฐบาลได้กำหนดอุตสาหกรรมใหม่ที่รู้จักกันในนาม New S-Curve อีก 5 สาขาเพื่อต่อยอดเชื่อมโยงจากอุตสาหกรรมเดิมดังกล่าว ได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุนหลายประการทั้งสิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุน มาตรการภาษี เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลกำลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในระดับภูมิภาคทั้ง กรอบ PPP และ RCEP ด้วย

Advertisement

พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงพัฒนาการของประเทศไทยว่า กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ มีการประกาศโรดแมปการคืนสูประชาธิปไตยอย่างชัดเจน และได้ดำเนินการตาม เป็นผลสำเร็จตามขั้นตอน โดยรัฐบาลมีความจริงจังและจริงใจที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน เพื่อให้กลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคงได้สมดุล

ขณะที่ประธานบริหารสภาบีซีไอยู ได้กล่าวขอบคุณพร้อมชื่นชมความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำให้ประเทศไทยมีเสถียรภาพ รวมทั้งการยกระดับเศรษฐกิจประเทศภายใต้ โครงการ Thailand 4.0 ทำให้เพิ่มโอกาสและลู่ทางการค้าและการลงทุนในไทยและภูมิภาคด้วย ขณะนี้ธุรกิจของสหรัฐที่ลงทุนในไทยอยู่แล้ว กำลังพิจารณาขยายการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ธุรกิจภาคบริการและค้าปลีกของสหรัฐ สนใจจะเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศทั้งการลงทุนโดยตรงและการร่วมทุน

ต่อมาผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนสหรัฐต่างๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแผนงานทางธุรกิจ อาทิ เจ้าหน้าที่ผู้บริหารระดับสูง บริษัท Goodyear Tire and Rubber กล่าวว่า บริษัทดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานและมีแผนจะขยายการลงทุนในประเทศไทยโดยเฉพาะ การสร้างโรงงานผลิตยางล้อเครื่องบิน เพื่อตอบสนองความต้องการอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งที่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต

ด้านรองประธาน บริษัท วอลมาร์ท กล่าวว่า ไทยส่งสินค้าให้วอลมาร์ท และวอลมาร์ทกำลังพิจารณาขยายการนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม และเห็นว่ารัฐบาลไทยได้แก้ไขปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับแรงงานและกระบวนการผลิตอาหารทะเลอย่างจริงจังอีกด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image