เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ที่ชุมชนป้อมมหากาฬ เขตพระนคร กรุงเทพ ฯ มีการจัดงาน “เพลิน มหากาฬ” โดยมีการแสดงทางวัฒนธรรม และจำหน่ายสินค้าต่างๆ รวมถึงการเสวนาหัวข้อ “เพลิน ชวน (มา) คุย วัฒนธรรมไท๊ย ไทย” และการเล่นลิเก เพื่อรื้อฟื้นบรรยากาศวิกลิเกพระยาเพชรปาณี สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเคยตั้งอยู่ในชุมชนป้อมมหากาฬ
ผศ.ดร. รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ ม.รามคำแหง กล่าวว่า สังคมไทยกลัวการเปลี่ยนแปลง ต้องแช่แข็งเสมอ หากเป็นเช่นนั้นทำไมไม่ใช้ภาษาในศิลาจารึกไปเลย อย่างกรณีชุนป้อมมหากาฬ ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน คนเก่าไป คนใหม่มาเป็นเรื่องปกติ ถ้าบอกไม่ใช่ชุมชนแรกเริ่มจึงรื้อได้นั้น ทั้งประเทศต้องย้ายกลับเขาอัลไต ตนก็ต้องนั่งเรือกลับแต้จิ๋ว เนื่องจากบรรพบุรุษมาจากเมืองจีน สำหรับประเด็นวิกลิเกพระยาเพชรปาณี ที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าถูกบิดเบือน โดยระบุว่าไม่ได้อยู่บริเวณชุมชนป้อมมหากาฬนั้น ขอให้พิจารณาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสาส์นสมเด็จ ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ฯ ทรงมีพระราชหัตถเลขา ถึงกรมพระยานริศนานุวัติวงศ์ ว่าได้เสด็จมาทอดพระเนตร “ยี่เก” ที่วิกพระยาเพชรปาณี ตรงข้ามวัดราชนัดดาราม ซึ่งก็คือบริเวณชุมชนป้อมมหากาฬนั่นเอง หากวิกดังกล่าวตั้งอยู่แถวประตุผี เหตุใดกรมพระยาดำรงไม่ระบุที่ตั้งวิกว่าตรงข้ามวัดเทพธิดาราม ส่วนข้อความในโปสการ์ดชาวต่างชาติที่เขียนด้วยอักษรภาอังกฤษอ่านได้ว่า วัดสระเกศนั้น ต้องเข้าใจว่า เป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน วัดสระเกศเป็นที่รู้จักมากกว่า อีกทั้งข้อมูลจากภาพถ่ายเก่าของฝรั่งก็ผิดพลาดจำนวนมากเป็นเรื่องปกติ บางภาพถึงขนาดผิดประเทศ เช่น ระบุว่าถ่ายในกัมพูชา จริงๆแล้วเป็นสถานที่ในไทยก็มี
ผศ.ดร.รุ่งโรจน์ ยังกล่าวถึงต้นกำเนิดลิเกว่า เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ใช่สมัยอยุธยาอย่างที่บางคนกล่าวอ้าง เหตุที่เกิดเพราะคนเบื่อละครที่เล่นแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำซาก เพลงช้า ไม่ถึงใจ ลิเกซึ่งแต่งตัวหรูหราอลังการ ใส่ถุงเท้าที่ถือเป็นของหรู เล่นเพลงเร็ว เนื้อเรื่องหวือหวา เสียดสีการเมืองจึงได้รับความนิยมมาก ถึงขนาดสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมาชม
“สิ่งที่สังคมไทยชอบทำ คือแช่แข็งวัฒนธรรม ถ้าจะเปลี่ยนคือตนต้องเปลี่ยนให้ ชาวบ้านห้ามเปลี่ยน ทั้งๆที่วัฒนธรรมเปลี่ยนด้วยตัวมันเองตลอด ไม่เช่นนั้น ลิเกคงไม่เกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้วมีพัฒนาการต่อไปอีก เช่น พระเอกลิเก เป็นนักร้อง หรือถูกนำไปแสดงในโทรทัศน์ เกิดรายการอย่างก่อนบ่ายคลายเครียด จริตบ้านเราชอบวัฒนธรรมประดิษฐ์ ตลาดน้ำร้อยปีที่ไม่ใช่ของจริง ในขณะที่ป้อมมหากาฬ มีชุมชนที่มีชีวิตอยู่ ทำไมจึงคิดไล่รื้อออกไป” ผศ.ดร.รุ่งโรจน์กล่าว
นายยรรยง บุญ-หลง สถาปนิกชื่อดัง กล่าวว่า ประเด็นการแช่แข่งไม่ได้มีแค่วัฒนธรรม ยังมีการแช่แข็งเมือง โดยการไล่รื้อคนออกไป แล้วค่อยพูดถึงกลุ่มคนเหล่านี้ เป็นการแช่แข็งรูปแบบใหม่ ในขณะที่ต่างประเทศ เช่นในกรุงโรม อิตาลี ยังมีคนอยู่อาศัย อาคารที่ไม่มีคนก็คือการแช่แข็ง
“ชุมชนป้อมมหากาฬ เหมือนซิดนีย์โอเปร่าเฮาส์ แต่ไม่ต้องจ้างคนด้วยซ้ำ ถ้าที่นี่มีการจัดกิจกรรมแบบเป็นจริงเป็นจัง เชื่อว่าสามารถทำได้ บางครั้งเราลืมมองสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาล ไม่ต้องไปสร้างใหม่ อย่างคลองแสนแสบ ปัจจุบันมีคนนั่งเรือมากกว่ารถไฟฟ้าสายสีม่วงเสียอีก” นายยรรยงกล่าว
ครูทอม คำไทย ติวเตอร์ภาษาไทยชื่อดังกล่าวว่า ควรมีการปรับมุมมองในการเรียนการสอนที่มักบอกว่า ควรอ่านวรรณคดีไทย เพราะเป็นมรดกชาติ ซึ่งทำให้เด็กไม่อยากอ่าน ทำไมไม่บอกว่าอ่านเพราะสนุก เรียนภาษาไทยแล้วดีอย่างไร ไม่ใช่ทำให้รู้สึกว่าอยู่บนหิ้ง
ต่อมาเวลา 19.00 น. เป็นการแสดงลิเก โดยนายบุญสืบ พันธ์ประเสริฐ ลิเกร่วมสมัยชื่อดังและคณะ โดยเล่นเรื่องนางสิบสอง ตอน อุบายนางมาร ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศในงานคึกคักตั้งแต่ช่วงเย็น โดยมีผู้เข้าชมที่ลานกลางชุมชนเป็นจำนวนมาก
นางรสนา โตสิตระกูล ซึ่งเข้าร่วมชมลิเก กล่าวว่า จุดร่วมของการแก้ปัญหา ขึ้นอยู่กับว่าผู้บริหารกทม. จะเปิดใจกว้างหรือไม่ กฎหมายเดิมที่มีอยู่น่าจะมีทางแก้ไข ต้องเปลี่ยนวิธีคิด ไม่ใช้การบริหารแบบบนลงล่าง ซึ่งอาจสร้างความร้าวฉาน ขัดแย้ง ก่อให้ชาวบ้านเกิดความเครียดและไม่พอใจ ดังนั้น ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม รัฐควรกำหนดเพียงแนวทางกว้างๆเท่านั้น ยิ่งชาวบ้านสามารถรับผิดชอบตัวเองได้มากแค่ไหน ก็ยิ่งลดภาระงานของภาครัฐ เช่น ด้านขยะ สิ่งแวดล้อม แม่น้ำลำคลอง นอกจากนี้ มองว่า คนกับเมืองควรพัฒนาไปด้วยกัน ภาครัฐพิจารณาว่าสิ่งใดที่ดีควรรักษาไว้ ควรรับฟังว่าชุมชนคิดอย่างไร จะดีกว่าการใช้อำนาจอย่างเดียว