เครือข่ายประชาชนฯร้อง ‘บิ๊กตู่’ ยกเลิกซื้อประกันสุขภาพเอกชนให้ข้าราชการ เหตุส่งผลกระทบรพ.รัฐ

เมื่อวันที่ 28 กันยายน เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ทำจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้ยกเลิกการนำเงิน 60,000 ล้านบาทไปซื้อประกันสุขภาพของข้าราชการ และยกเลิกการใช้เงิน 800 ล้านบาท ซื้อประกันอุบัติเหตุให้ประชาชน 8 ล้านคน โดยมีเหตุผลในการคัดค้านเรื่องดังกล่าว ดังนี้

กรณีการซื้อประกันสุขภาพของข้าราชการจำนวน 60,000ล้านบาท

1. การดำเนินการซื้อประกันสุขภาพภาคเอกชน อาจจะเป็นการดำเนินการที่ไม่สอดคล้องและขัดแย้งกับมาตรา 9 และมาตรา 66 ของพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และขัดหลักการสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนในการจัดระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

2. ระบบประกันสุขภาพภาคเอกชนมีข้อจำกัด ส่วนใหญ่มีเงื่อนไขในการใช้บริการไม่ว่าจะเป็นบริการคนไข้ในคนไข้นอกที่ถูกควบคุมและจำกัด อาจจะส่งผลกระทบต่อสวัสดิการข้าราชการที่เคยได้รับ รัฐบาลควรใช้บทเรียนการจัดสวัสดิการข้าราชการส่วนท้องถิ่น ที่พบปัญหาการใช้งบประมาณสูงต่อเนื่องทุกปี เช่นเดียวกับระบบสวัสดิการข้าราชการ หลังจากกระทรวงมหาดไทยได้แก้ปัญหาโดยให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรับจัดบริการให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่น ทำให้ปัจจุบันข้าราชการส่วนท้องถิ่นได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่าเดิมและไม่น้อยกว่าสวัสดิการข้าราชการ และใช้งบประมาณเพียง7,000 บาทต่อคนต่อปี โดยที่ระบบสวัสดิการข้าราชการใช้เงินมากกว่า 12,000 บาทต่อคนต่อปี หรือหากให้บริษัทประกันชีวิตภาคเอกชน ดำเนินการระบบสุขภาพของข้าราชการไม่ควรใช้งบประมาณเกิน 7,000 บาทต่อคนต่อปี เช่นเดียวกับศักยภาพของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

Advertisement

3. การดำเนินการครั้งนี้ ส่งผลต่อบริการของโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย เนื่องจากการจัดสวัสดิการรักษาพยาบาลให้กับข้าราชการ โดยส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายที่ให้โดยตรงกับโรงพยาบาลรัฐในระดับต่าง ๆ แต่หากจัดซื้อประกันสุขภาพภาคเอกชน ย่อมทำให้งบประมาณส่วนใหญ่ตกอยู่กับโรงพยาบาลเอกชน ย่อมส่งผลต่อฐานะทางการเงินการคลังของโรงพยาบาลรัฐแน่นอน

4. ถึงแม้กระทรวงการคลัง จะใช้มาตรการนี้เพื่อแก้ปัญหาคอรัปชั่นการช้อปปิ้งยา ซึ่งเป็นปัญหาปัจเจกบุคคล และควรมีการจัดการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด แต่การใช้มาตรการนี้ไม่มีหลักประกันว่าจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ แต่ส่งผลกระทบต่อการรับบริการของข้าราชการและครอบครัวอย่างชัดเจน เพราะการกำกับธุรกิจประกันภาคเอกชนก็มีความจำเพาะและต้องให้อิสระเสรีในการทำธุรกิจ

สสสส

กรณีการใช้เงิน 800 ล้านบาท ซื้อประกันชีวิต อุบัติเหตุให้ประชาชน 8 ล้านคน
1. ความไม่คุ้มค่าในการใช้เงิน 800 ล้านบาท ในการทำประกันชีวิต 99 บาท เนื่องจากให้การคุ้มครองน้อยกว่ากฎหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มีเพียงการคุ้มครองเสียชีวิต 50,000-60,000 บาทในกรณีเสียชีวิต และจ่ายชดเชย 300 บาทต่อวัน ขณะที่การคุ้มครองจากพรบ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถฯ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจ่ายตามจริงไม่เกิน 80,000 บาท การชดเชยรายวัน ไม่เกิน4,000 บาท (จำนวน 200 บาท ไม่เกิน 20 วัน) ชดเชยการเสียชีวิตหรือทุพพลภาพจ่าย 300,000 บาทแก่ทายาท สูญเสียอวัยวะ 200,000- 300,000 บาท

2.กระทรวงการคลังถูกหลอกและประชาชนตกเป็นเหยื่อของบริษัทประกัน เพราะหลักการคุ้มครองการเสียชีวิตจากเหตุสุขภาพจะได้เงินหลังจากทำประกันชีวิตไปแล้ว 2 ปี (ห้ามตายก่อนสองปี) ทำให้เสียเงินประกันชีวิตฟรี 800 ล้านบาท หรือต้องทำประกันถึง 3 ปีใช้เงินมากถึง 2,400 ล้านบาท ถึงจะได้รับการคุ้มครองจากการเสียชีวิต ซึ่งสิทธิประโยชน์ไม่คุ้มค่ากับเงินที่ใช้ไปในครั้งนี้เพราะหากเสียชีวิตได้เงินเพียง 50,000-60,000 บาทเท่านั้น

3.ปัญหาการทำประกันภาคบังคับ กรณีพรบ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พบปัญหา อัตราการใช้สิทธิจากอุบัติเหตุต่ำมากไม่ถึง 50% ปัญหาการจ่ายเงินเพื่อการบริหารจัดการสูงถึงร้อยละ 52 หรือประมาณ 4,785 ล้านบาท ขณะที่ใช้งบประมาณในการจ่ายสินไหมทดแทนประมาณ 4,534 ล้านบาท หรือ 48% เท่านั้น และประชาชนทุกคนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์มีปัญหาจากการใช้สิทธิเมื่อเกิดอุบัติเหตุ กลไกการกำกับและการติดตามการใช้งบประมาณบริหารที่สูงเกินจริงจะทำได้อย่างไร

4.บริษัทประกันได้ประโยชน์แน่นอน 800 ล้านบาท หากเทียบเคียงจากระบบประกันภัยคุ้มครองผู้สบภัยจากรถ ที่รัฐบังคับให้เจ้าของรถทุกประเภทต้องทำประกันภัยนี้

จึงขอให้ ฯพณฯนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาและยุติการดำเนินการที่อาจขัดต่อกฎหมาย และส่งผลกระทบต่อระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของประชาชนทั้งประเทศ และขอให้เร่งรัดการดำเนินการให้การใช้งบประมาณทั้งหมดราว 260,000 ล้านบาท พัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้มีประสิทธิภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม จัดระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างเสมอภาคให้กับทุกคน ซึ่งงบประมาณเหล่านี้สามารถทำให้ทุกคนได้รับการดูแลรักษาทุกโรคอย่างเหมาะสม มีคุณภาพมาตรฐาน และเพียงพอสำหรับทุกคน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยทางกลุ่มฯ โดยมี นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้ประสานงาน จะเดินทางเข้ายื่นจดหมายดังกล่าวต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วยในวันที่ 30 กันยายนนี้ เวลา 10.00 น.

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image