กรมชลฯยันปากเกร็ด-นนทบุรีไม่ท่วม อย่าตื่นตามสื่อโซเชียล

กรมชลฯยันปากเกร็ด-นนทบุรีไม่ท่วม อย่าตื่นตามสื่อโซเชียล ประชุมร่วมอุตุฯ จันทร์10ต.ค. ประเมินสถานการณ์น้ำอีกครั้ง

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม นายทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกรณีข่าวลือแจ้งเตือนในสื่อโซเชียลมีเดียว่า ปริมาณน้ำที่ปล่อยจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์จะทำให้แม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้นและเอ่อเข้าท่วมพื้นที่ในคันกั้นน้ำในเขตอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ว่า ปริมาณน้ำที่ระบายออกจากเขื่อนนั้นอยู่ในเกณฑ์ปกติจะไม่ล้นคันกั้นน้ำ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนหรือพื้นที่เศรษฐกิจในเขตอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีอย่างแน่นอน

นายทองเปลวกล่าวถึงสาเหตุที่ต้องระบายน้ำออกจากเขื่อนเพิ่มขึ้นเพราะกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่าร่องมรสุมจะพาดผ่านบริเวณภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลางตอนบน ทำให้มีฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี ใกล้จะเต็มอ่างแล้ว จึงต้องปรับการระบายน้ำออกจากเขื่อนเพิ่มเป็นวันละ 55 – 60 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดน้ำล้นอ่างที่จะส่งผลกระทบพื้นที่ท้ายเขื่อนเป็นบริเวณกว้างได้ โดยปริมาณน้ำที่ระบายออกจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เมื่อไหลไปรวมกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่บริเวณอำเภอบางไทรจะมีปริมาณน้ำประมาณ 2,076 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งยังเป็นเกณฑ์ปกติ

นายเลิศชัย ศรีอนันต์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน กล่าวถึงสถานการณ์การระบายน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า อาจส่งผลให้พื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ท้ายเขื่อนเกิดน้ำท่วมในพื้นที่นอกคันกั้นน้ำในพื้นที่ใหม่บ้าง เช่น ต.บางหลวง และ ต.โพธิ์ทอง อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ต.เสือข้าม อ.อินทร์บุรี จ. สิงห์บุรี รวมทั้งริมแม่น้ำเจ้าพระยา อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง เป็นต้น และท่วมในพื้นที่เดิมที่เคยท่วมอยู่แล้วในระดับตั้งแต่ 25-75 เซนติเมตร แต่ปริมาณน้ำจะค่อยๆ ลดลงในช่วง 2 สัปดาห์หลังจากนี้ และยืนยันได้ว่าไม่มีพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ

Advertisement

นายเลิศชัยกล่าวว่า ตามปกติเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางเดือนตุลาคมปริมาณฝนจะเริ่มลดลง อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่จะเกิดฝนตกอีกได้ หากมีฝนตกลงมาเพิ่มเติมจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยามากกว่าเกณฑ์ที่กรมชลฯกำหนดไว้ ซึ่งกรมจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และทำหนังสือเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำแจ้งเตือนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี และสุพรรณบุรี เพื่อประกาศประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ กรมและกรมอุตุฯจะมีการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ ประจำสัปดาห์ในเช้าวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ที่ห้องประชุมศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ ชั้น 2 ตึกอำนวยการ กรมชลประทาน สามเสน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล ปัจจุบันมีปริมาตรน้ำ 6,320 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็น 46% ของความจุสูงสุด เขื่อนสิริกิติ์ ปริมาตรน้ำ 7,350 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 77% ของความจุสูงสุด เขื่อนแควน้อยฯ ปริมาตรน้ำ 800 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 85% ของความจุสูงสุด ส่วนเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาตรน้ำ 908 ล้าน ลบ.ม. หรือ 95% ของความจุสูงสุด ลบ.ม.

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image