เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 14 ตุลาคม ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าถวายน้ำสรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ตั้งแต่เวลา 08.30-12.00 น.
อย่างไรก็ตาม สำนักพระราชวังต้องเปิดให้สรงน้ำพระบรมศพก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง เนื่องจากมีพสกนิกรที่ต่างสวมชุดไว้ทุกข์สีดำหลั่งไหลมาตั้งแต่ตี 3 โดยเปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี จัดแถวแบ่งเป็น 3 แถว และให้เข้าครั้งละ 100 คน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความรวดเร็ว ซึ่งมีประชาชนทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย โดยเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังจัดให้เข้าแถวต่อคิวตั้งแต่หน้าศาลาสหทัยสมาคมยาวไปถึงประตูวิเศษไชยศรี เรื่อยไปถึงหน้า ม.ศิลปากร ปลายแถวอยู่เชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า โดยทุกคนมีสีหน้าโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง อาทิ นายจำลอง ศรีเมือง, คุณหญิงระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช, นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช, นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ พร้อมครอบครัว, พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหมและภริยา , นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง นอกจากยังมีเหล่าคณะทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ กว่า 50 ประเทศ มาร่วมลงนามถวายราชสักการะด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อถึงเวลา 12.00 น. ตามกำหนดการที่ต้องปิดสรงน้ำถวายราชสักการะ แต่ประชาชนยังไม่ย่อท้อ หลั่งไหลกันเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังต้องตัดแถวไม่ให้เข้าบริเวณภายในพระบรมมหาราชวังจากปลายแถวที่อยู่สนามหลวง โดยเจ้าหน้าที่ปล่อยให้ประชาชนที่เหลืออีกกว่า 500 คนได้สรงน้ำจนหมด เช่นเดียวกับคณะทูตานุทูตที่ต่างทยอยมาไม่ขาดสายหลายสิบประเทศ โดยต่างลงนามถวายราชสักการะ และร่วมสรงน้ำด้วย
สำหรับบริเวณพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้ตระเตรียมสถานที่ ประดับด้วยผ้าขาวดำ และสถานที่เพื่อรองรับบุคคลสำคัญเรียบร้อยแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ประชาชนต่างร้องไห้น้ำตาคลอขณะต่อแถว เมื่อเข้ามาในศาลาสหทัยสมาคมแล้ว เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังจะจัดให้ประชาชนสรงน้ำลงบนพานที่โยงสายไปยังพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ก่อนจะถวายความเคารพและเดินออกไป โดยบางคนระหว่างที่สรงน้ำไม่สามารถอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ บางคนน้ำตาคลอ บางคนน้ำตาไหลนองหน้า ด้วยความอาลัยอย่างสุดซึ้ง
นางสาวสุวิมล สาธุวงศ์ อายุ 53 ปี และนางพรพนา คล้ายสุวรรณ์ อายุ 47 ปี กล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า มาสรงน้ำครั้งนี้ เพราะถือเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ทำอะไรเพื่อพระองค์ เมื่อวานมีข่าวสารมาตลอดเวลา แต่ก็ไม่เชื่อ ได้แต่บอกตัวเองว่าข่าวลวง จนกระทั่งประกาศสำนักพระราชวังออกก็ต้องยอมรับความจริง นอนไม่หลับทั้งคืน ตอนนี้ก็ยังไม่เชื่อ เพราะปกติทุกปีที่พระองค์เสด็จออกมหาสมาคมไปเข้าเฝ้าฯ พระองค์ตลอด เป็นความรู้สึกประทับใจ และภูมิใจที่ได้เกิดเป็นข้าพระบาท หากมีโอกาสก็อยากจะเกิดเป็นประชาชนของพระองค์อีกครั้ง