เชิญพระบรมศพถึงวังแล้ว ปชช.ร่ำไห้ ขอน้อมเกล้าฯ ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย

154108

เมื่อเวลา 15.59 น. วันที่ 14 ตุลาคม สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 โรงพยาบาลศิริราช

จากนั้น สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เดินนำขบวนเชิญพระบรมศพลงจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 โดยมีคณะแพทย์ และพยาบาลที่ถวายการรักษาพยาบาลเลื่อนพระแท่นพยาบาลเชิญพระบรมศพเข้าสู่ลิฟท์ โดยมี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ พร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จตามพระบรมศพ

เมื่อเชิญพระบรมศพถึงชั้นล่างของอาคารเฉลิมพระเกียรติแล้ว ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เชิญพระบรมศพขึ้นสู่รถเชิญพระบรมศพที่เทียบรออยู่หน้าประตูทางเข้าลิฟท์ชั้นใต้ดินอาคารเฉลิมพระเกียรติ นายแพทย์และพยาบาลที่ถวายการรักษา ตามเสด็จฯ ในรถพยาบาล

Advertisement

กระทั่งเวลา 16.35 น. ขบวนรถอัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเป็นรถตู้สีบอนซ์แถบฟ้า เลขทะเบียน 1 ด 0929 เปิดไฟสัญญาฉุกเฉินบนหลังคา เคลื่อนออกจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ ออกจากโรงพยาบาลศิริราชที่ประตู 8 สู่ถนนวังหลัง โดยขณะที่รถอัญเชิญพระบรมศพเคลื่อนผ่าน พสกนิกรที่นั่งอยู่สองฝังข้างทางต่างโน้มตัวลงพื้นไหว้ตั้งอธิษฐานจิตถวายสักการะพระบรมศพ บางคนเปล่งเสียงคำว่า “ขอน้อมเกล้าฯ ส่งเสด็จสู่สวรรคคาลัย”, “ทรงพระเจริญ” ทั้งนี้ พสกนิกรบางส่วนใหญ่พลันที่ได้เห็นรถเชิญพระบรมศพต่างปิดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ พากันร่ำไห้ น้ำตาซึมไปตามๆ กัน

เวลา 16.55 น. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จลงจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ เพื่อเสด็จฯ ไปยังพระบรมมหาราชวัง ทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระพักตร์สดใส ทรงโบกพระหัตถ์ด้วยพระองค์เองทักทายพสกนิกรที่มาถวายสักการะพระบรมศพ

ภายหลังเปิดการจราจรภายในและโดยรอบโรงพยาบาลศิริราช พสกนิกรที่ยังอยู่ในอาการโศกเศร้าต่างรีบเปิดโทรศัพท์เพื่อชมการถ่ายทอดสดของโทรทัศน์รวมการเฉพาะ บางส่วนรีบแยกย้ายไปดูโทรทัศน์ตามอาคารของโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าดูขบวนรถเชิญพระบรมศพไปถึงจุดหมาย

Advertisement

นางจำเนียร มาลากุล อายุ 55 ปี ชาวเขตภาษีเจริญ กทม. ซึ่งกำลังยืนปาดน้ำตา ในมือยังถือพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เล่าว่า ยังรู้สึกใจหายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากนี้มองไปอาคารเฉลิมพระเกียรติชั้น 16 จะไม่มีพระองค์อีกแล้ว ส่วนตัวยังรู้สึกเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับมา 2 คืนที่มาปักหลักนอนที่โรงพยาบาลศิริราช แต่คิดว่ายังไงก็ต้องทำใจ และคิดว่าจากนี้จะต้องทำดีถวายพระองค์ อย่างที่ทำอยู่แล้วคือ ตนที่มีอาชีพขายข้าวแกงแถวถนนราชพฤกษ์ ขายแกงเพียงถุงละ 10 บาท ไม่ว่าจะคนจนหรือรวย แม้วันๆ จะมีกำไรเพียง 100-200 บาท แต่ก็รู้สึกมีความสุขในชีวิตที่อยู่อย่างพอเพียง บางวันขายไม่มีกำไรเลยก็มี แต่ก็ไม่เป็น อย่างน้อยได้ขายเพื่อช่วยเหลือสังคม มีคนยกมือไหว้ขอบคุณก็ดีใจ

“ตอนรถเชิญพระบรมศพเคลื่อนผ่าน ดิฉันและเพื่อนๆได้กลิ่นดอกไม้หอมมาก ในใจพวกเราคิดว่าพระองค์มาบอกว่าทรงกำลังเสด็จฯ ไปแล้ว และเสด็จสู่สวรรคาลัย อย่างไรก็ดี วันนี้รู้สึกดีใจและปลาบปลื้มใจในชีวิตที่ได้เห็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระองค์ยังทรงแข็งแรง พระพักตร์สดใส ทรงโบกพระหัต์ทักทายประชาชนโดยที่ไม่มีนางพยาบาลมาประคองแขนอีกด้วย ก็ทำให้ดิฉันมีกำลังในชีวิตมากขึ้น” นางจำเนียรกล่าว

ส่วนนายศักดา-นางนิรมล สัจจะมิตร ชาวไทยเชื้อสายอินเดีย เล่าทั้งใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาว่า เมื่อคืนร้องไห้หนักมาก ร้องจนไม่มีน้ำตา ด้วยพระองค์ทรงทำคุณประโยชน์นานัปการ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทั่วโลกรู้จัก และยอมรับว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทำความดีมากมาย จนได้รับการยกย่องว่าเป็นคิงออฟเดอะคิง คิงออฟเดอะเวิลด์ ส่วนตัวคิดว่าเป็นบุญอันล้นพ้นแล้วที่เกิดมาในแผ่นดินนี้

“มีพระมหากษัตริย์ที่ไหนที่ยังทรงงาน ในขณะที่ประชาชนของท่านหลับแล้ว ผมเองเคยลองทำความดีตามพระองค์ เช่น ช่วยเหลืองานสังคม ยกผลประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตน อาจทำได้แค่ร้อยละ 10 จากที่พระองค์ทำ ก็เหนื่อยมากแล้ว อย่างไรก็ดี จากนี้ต้องคิดว่าพระองค์ยังอยู่กับเรา และทำความดีต่อไป” นายศักดา-นางนิรมลกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image