หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคตเมื่อบ่ายวันพฤหัสบดีที่ 13 เดือนนี้ (ตุลาคม 2559) แล้ว เสียงร่ำไห้ของคนไทยก็ดังไปทั้งประเทศ รุ่งขึ้นวันศุกร์ที่ 14 ขณะที่อัญเชิญพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระบรมมหาราชวัง ผู้ที่่ออกไปคอยส่งเสด็จริมถนนมีจำนวนหลายหมื่นคน แทบทุกคนน้ำตาไหลอาบหน้า และหลังจากที่อัญเชิญพระบรมโกศขึ้นประดิษฐานในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทแล้ว แม้สำนักพระราชวังจะยังไม่เปิดให้เข้าไปในพระบรมมหาราชวังเพื่อสักการะและแสดงความอาลัย แต่ประชาชนก็ยังปักหลักรอคอยอยู่ภายนอก และเริ่มแสดงความอาลัย
ด้วยการนำดอกไม้ไปวางและจุดเทียนที่เชิงกำแพง พระบรมมหาราชวัง
ครั้นเมื่อสำนักพระราชวังได้จัดที่สำหรับถวายบังคมและลงชื่อแสดงความอาลัยขึ้นในศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวังแล้ว ประชาชนจึงทยอยกันเข้าแถวรอเข้าไปถวายบังคมและลงชื่อกันตั้งแต่เช้าจนหมดเวลา
แต่แม้กระนั้นประชาชนอีกเป็นจำนวนหลายหมื่นก็ยังปักหลักพักแรมอยู่ในท้องสนามหลวง และมีผู้เดินทางเข้าไปสมทบไม่ขาดสาย ทุกคนหันหน้าไปทางพระบรมมหาราชวัง สงบเงียบ บางคนพนมมือสักการะ หลายคนร้องไห้
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนไทยปรากฏชัดขึ้นหลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว ขณะที่ทุกคนกำลังโศกเศร้าอยู่นั้น คนไทยก็แสดงความเห็นใจและเอื้ออารีต่อเพื่อนคนไทยด้วยกันในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เริ่มต้นด้วยการนำอาหาร น้ำ และสิ่งของเครื่องใช้ไปแจกกันและกันในปริมาณที่เหลือเฟือ
รถยนต์และจักรยานยนต์รับจ้างไปส่งผู้ที่ไปยังท้องสนามหลวงโดยไม่คิดค่าโดยสาร
ผมอยากเข้าไปร่วมชุมนุมที่ท้องสนามหลวงด้วยแต่ไม่กล้า เพราะผมป่วยด้วยโรคหัวใจเรื้อรัง กลัวว่าอาการจะไปกำเริบในที่ชุมนุม แต่ก็ได้ติดตามและทราบจากข่าววิทยุโทรทัศน์บ้าง จากเพื่อนบ้าง
เพื่อนที่ให้ข่าวอย่างละเอียดและใกล้ชิดคือเพื่อนทางเฟซบุ๊ก คุณ Rojrawee Rawirash เขียนมาเล่าให้ฟังว่าได้พบเห็นความมหัศจรรย์ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้พบเห็นในชีวิต
เห็นคนตาบอดพยายามเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปยืนตรงกลาง เห็นคนแก่จำนวนมากนั่งรถเข็นอยู่กลางแจ้งโดยไม่บ่น เห็นคนเป็นลมล้มลงนับไม่ถ้วนที่เมื่อหน่วยพยาบาลหามออกไปให้ปฐมพยาบาลจนอาการดีแล้วก็ย้อนกลับเข้าไปใหม่
เห็นคนแจกอาหารและสิ่งของมากกว่าคนรับ เห็นทุกคนถือขยะไว้กับตัวโดยไม่ยอมทิ้งให้พื้นสกปรก เห็นคนในร้านอาหารที่กินแล้วรีบลุกออกมาเพื่อให้คนอื่นได้กินบ้าง
และเห็นร้านค้าริมถนนทุกร้านเปิดประตูเพื่อให้ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศแผ่ออกไปบรรเทาความร้อนให้แก่ผู้ที่ชุมนุมอยู่หน้าร้าน
คุณ Rojrawee Rawirash สรุปว่าสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงต้องการได้เกิดขึ้นแล้ว คือความรัก สามัคคี และพร้อมพลีตนเองเพื่อสร้างประเทศไทยในวันข้างหน้า
พอถึงบ่ายวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม สิ่งที่ทั้งคุณ Rojrawee Rawirash และผมไม่ได้คาดว่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นอีก เมื่อหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล และคุณสมเถา สุจริตกุล เชิญประชาชนให้ไปร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ที่ท้องสนามหลวง เพื่อบันทึกเสียงและนำไปบรรเลงในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ
คุณสมเถานั้นเป็นวาทยากรมีชื่อของโลก ในวันนั้นคุณสมเถาใช้นักดนตรี 200 คนของวงดนตรีสยามฟิลฮาร์โมนิคและสยามซินโฟนิเอตต้า และนักร้องประสานเสียงทั้งชายหญิงทั้งไทยและต่างประเทศ 100 คนเป็นต้น เสียง
ปรากฏว่าผู้ไปร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีในท้องสนามหลวงมีจำนวนถึงกว่าหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นคน และยังมีผู้ที่พยายามเข้าไปร่วมอีกจนล้นท้องสนามหลวงและทะลักออกไปทุกทิศ
การร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีเพื่อบันทึกเสียงทำทั้งในตอนบ่ายและกลางคืน เสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีได้รับการถ่ายทอดจนดังกระหึ่มไปทั่วทั้งโลก
จากการถ่ายทอดของสถานีวิทยุโทรทัศน์ผมเห็นเกือบทุกคนที่ร้องเพลงไปและร้องไห้ไปด้วย ส่วนผมเองนั่งดูรายการที่เขาถ่ายทอดอยู่ที่บ้านแล้วก็ร้องไห้ตามไปด้วย
ปรากฏการณ์นี้คงไม่เกิดขึ้นได้เลยหากไม่มีการเสด็จสวรรคต เพราะความห่วงหาอาลัยอาวรณ์ในพระยุคลบาทแท้ๆ ที่ทำให้คนไทยหันหน้าเข้าหากันและร่วมมือร่วมใจกันทำสิ่งที่เหลือวิสัยให้เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่น้ำตายังนองหน้าอยู่ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักชื่อไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน แต่คนไทยก็สามารถยิ้มเข้าหากัน จับมือกัน และกอดกันได้
เพราะปรากฏการณ์นี้ผมจึงเชื่อว่า อุปสรรคของเมืองไทยที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้จะไม่เหลือบ่ากว่าแรงของคนไทยที่จะร่วมกันฟันฝ่าและสามารถผ่านพ้นไปได้ในที่สุด