เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนจากทั่วประเทศยังคงทยอยเดินทางมาร่วมลงนามแสดงความอาลัย ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ก่อนสำนักพระราชวังจะเปิดลงนามวันสุดท้ายในวันที่ 28 ตุลาคมนี้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ต่างได้เหล่านักเรียนจิตอาสาเข็นรถเข้ามาตลอดทั้งวัน จนกระทั่งปิดลงนามเมื่อเวลา 16.00 น. สำหรับวันนี้มีประชาชนที่มาร่วมลงนามแสดงความอาลัย จำนวน 26,505 คน และมีประชาชนทูลเกล้าฯ ถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลงานพระราชพิธี จำนวน 861,980 บาท รวมยอดทั้งสิ้น 7,524,529.25 บาท
นางสาวสุนทรี จีนธรรม อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า นำนักศึกษาในวิชา “ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท” ซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานในมหาวิทยาลัยมาแจกสิ่งของ และจิตอาสารอบสนามหลวง จึงมีโอกาสเข้ามาลงนามแสดงความอาลัย เนื่องจากเป็นอาจารย์ประจำวิชา ทำให้ศึกษาเรื่องราวต่างๆของพระองค์อยู่เสมอ รู้สึกประทับใจพระราชจริยวัตร รวมถึงการทรงงาน ที่ทรงมีทศพิธราชธรรม มีทาน ศีล เพื่อลูกไปทุกคน ถือเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง จึงยึดเอาหลักการทรงงานที่ต้องทำจริง รู้จริงทุกขั้นตอน กับความสามัคคี มาน้อมนำในการทำงานทุกวันนี้ และแม้ว่าในชีวิตจะมีโอกาสรับเสด็จเพียงครั้งเดียวเมื่อตอนรับพระราชทานปริญญาบัตร ปี 2524 แต่ภาพก็ยังประทับจดจำอยู่เสมอ
นางเรืองรุ้ง อินทแพทย์ อายุ 69 ปี เดินทางจากบ้านย่านปทุมธานี มาลงนามแสดงความอาลัยวันนี้ กล่าวว่า ตั้งใจเดินทางมาร่วมแสดงความอาลัยพ่อของแผ่นดินหลายวันแล้ว แต่ยังไม่ว่างเว้นจากการทำงานและขาไม่ค่อยดี อย่างไรก็ตาม คิดว่าอยากมาอีก เพราะถือเป็นโอกาสที่จะได้กราบสักการะพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย ใครๆ ก็อยากมา ทั้งนี้ ส่วนตัวรู้สึกประทับใจในหลวงตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เพราะตอนอายุ 10 กว่าปี เคยรับเสด็จใกล้ๆ ทำให้รู้สึกว่าพ่อทรงรู้ว่าประชาชนทุกคนอยากเห็นพระองค์ใกล้ๆ ตั้งแต่นั้นก็ติดตามพระราชกรณียกิจและคำสอนของในหลวงตลอด ประทับใจทุกอย่างที่ทรงทำเพื่อประเทศไทย ตัวเองจึงตั้งใจทำความดีมาตลอด และขอให้ชาวไทยทำความดีเพื่อเป็นการระลึกถึงพ่อ แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม
ด้านนางสาวชนากานต์ วิบูลย์พันธุ์ อายุ 37 ปี พยาบาลจากโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่มาประจำอยู่ที่เต็นท์แพทยสภา ใช้โอกาสที่วันนี้ประชาชนเดินทางมาลงนามแสดงความอาลัยไม่มากนัก เข้ามากราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพราะอยากระลึกถึงพระองค์ เผยว่า ตั้งแต่ทราบข่าวว่าในหลวงสวรรคตรู้สึกว่าต้องมาแสดงความอาลัยพระองค์ให้ได้ ช่วง 3-4 วันแรกนอนไม่หลับต้องขับรถออกมาดูบรรยากาศรอบๆ พระบรมมหาราชวังและท้องสนามหลวง พลางคิดในใจว่าในยามที่พระองค์ทรงมีงานเฉลิมฉลอง ทำไมตัวเองถึงไม่ออกมาร่วมเฉลิมฉลอง แต่มาในยามที่ท่านไม่อยู่แล้ว ส่วนตัวไม่เคยรับเสด็จพ่อหลวงแต่ทรงเคยเสด็จฯมาประทับที่โรงพยาบาลกรุงเทพอยู่บ้าง ทรงมีรับสั่งว่า แพทย์และพยาบาลเป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศ เพราะไม่มีใครสามารถทำหน้าที่แทนได้ ดังนั้น ต้องให้ความสำคัญกับหน้าที่ ใช้ใจทำงานแล้วจะมีความสุขเอง จึงยึดคำนี้มาเตือนใจในการทำงานเสมอมา
