“แม้จะอยู่ในความโศกเศร้า แต่พวกเราต้องเดินต่อไปตามรอยพระยุคลบาทของพระองค์ ที่สอนเรามากมาย…” พิศาล พ้นภัย ผู้สื่อข่าวอาวุโสประจำกระทรวงสาธารณสุข วัย 93 ปี เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ “ป๋าแห้ว” ผู้ซึ่งมีประสบการณ์การทำงานข่าวมานาน ขณะที่ประสบการณ์ชีวิต ในการเรียนรู้เมื่อเกิดความโศกเศร้าเข้ามาในชีวิต โดยป๋าแห้ว เป็นผู้สื่อข่าวที่ปัจจุบันยังคงเดินทางด้วยรถประจำทางมายังกระทรวงสาธารณสุขอย่างสม่ำเสมอ
พิศาล หรือป๋าแห้ว เกิดในพ.ศ.2466 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 6 โดยเล่าว่า เกิดมาได้ประมาณปีเศษ ช่วงพ.ศ. 2468 พระองค์เสด็จสวรรคต ตนจึงจำความไม่ได้ กระทั่งสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงครองราชย์ ขณะนั้นตนศึกษาอยู่ที่อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งขณะนั้นเป็นลูกเสือ เรียนอยู่ระดับประถมศึกษา โดยครั้งหนึ่งที่ตนประทับใจมาก คือ ช่วงที่รัชกาลที่ 7 พระองค์ทรงแปรพระราชฐานไปประทับ ที่หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ด้วยรถไฟพระที่นั่ง ขบวนพระองค์อยู่ท้ายสุด เมื่อขบวนรถผ่านสถานี พวกลูกเสือต่างยืนเรียงแถวยาวเหยียด เพื่อรอรับเสด็จ เมื่อขบวนรถไฟผ่าน ก็ชะลอให้ช้ารถ พวกเราเป็นลูกเสือก็วันทยาหัตถ์ พร้อมร้องว่า ไชโยๆ จนกระทั่งขบวนรถไฟเสด็จผ่านไป
“ช่วงมีการปฏิวัติในเดือนมิถุนายน 2475 ผมยังอยู่ที่โพธาราม ไม่รู้เรื่องการบ้านการเมืองอะไร เพราะการสื่อสารต่างๆ ไม่มีมากนัก จะรู้ก็ช่วงที่พระองค์สละราชสมบัติและเสด็จไปประทับในต่างประเทศแล้ว กระทั่งผมอายุได้ประมาณ 16 ปี ช่วงนั้นเข้าสู่รัชกาลที่ 8 ผมก็ยังอยู่ปัตตานี โดยขณะนั้นเมื่อมีการสถาปนารัชกาลที่ 8 เป็นพระเจ้าแผ่นดิน จำได้ว่าขณะนั้นพระองค์ทรงเยาว์วัย ก็มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แต่ก็เกิดเหตุการณ์การเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ประชาชนเศร้าโศกเสียใจ แต่ด้วยการเดินทาง ณ ขณะนั้นไม่ได้สะดวก การเดินทางจากต่างจังหวัดไปท้องสนามหลวงค่อนข้างลำบาก ไม่ได้สะดวกเหมือนทุกวันนี้ ” ป๋าแห้ว เล่า
เมื่อถึงสมัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ขึ้นครองราชย์ เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต ประชาชนเศร้าโศกเสียใจและเดินทางมายังท้องสนามหลวง แม้จะไม่ได้ถวายบังคมพระบรมศพ แต่ต่างต้องการมาแสดงความอาลัยต่อพระองค์ เนื่องจากพระองค์ ทรงครองราชย์มาอย่างยาวนานถึง 70 ปี
ทำให้มีพระราชกรณียกิจมากมายกว่า 3,000-4,000 โครงการ และพระองค์ก็เสด็จเยี่ยมราษฎรมากมาย มีการแก้ไขปัญหาต่างๆนานา จนประชาชนที่ทุกข์ยากก็ผ่อนลง ไม่ว่าจะเป็นโครงการหญ้าแฝก ป้องกันหน้าดินไม้ให้น้ำชะล้าง โครงการฝนหลวง ด้วยเหตุนี้ประชาชนต่างเห็นและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
“ผมเป็นนักข่าวช่วงรัชกาลที่ 9 โดยเป็นนักข่าวจนมาตอนนี้ อยู่หนังสือพิมพ์ส่วนกลาง ได้ทำงานและทราบพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านมากมาย เมื่อทราบข่าวก็รู้สึกเสียใจ แต่ก็ต้องผ่านพ้นไปให้ได้ และเชื่อว่าพระองค์ทรงต้องการให้ประชาชนของท่านมีความสุข เราก็ควรจะน้อมนำพระราชดำริของพระองค์มาปรับใช้ในชีวิตของพวกเรา” ป๋าแห้ว กล่าวทิ้งท้าย
