ไม่ว่า “ปัจจัย” อันทำให้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิตกต่ำจนถึงระดับ กิโลกรัมละ 6 บาทมาจากอะไร
แต่”ผลสะเทือน”ครั้งนี้ “ล้ำลึก”
ล้ำลึกทั้งในประเด็นทาง “เศรษฐกิจ” ขณะเดียวกัน ก็ล้ำลึกทั้งในประเด็นทาง “การเมือง”
ทำให้นาม 2 นามบังเกิดความโดดเด่นขึ้นมา
นาม 1 คือนามของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เจ้าของนโยบาย”จำนำข้าว”ราคาตันละ 15,000 บาท
นาม 1 คือนามของ นายสมบัติ บุญงามอนงค์
ความจริงนามของ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ไม่น่าจะมีความโดดเด่นอะไร เพราะเสมอเป็นเพียงเคลื่อนไหวรับซื้อข้าวชาวนาในราคาตันละ 15,000 บาท ในห้วงที่มีการรุกไล่ เล่นงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เท่านั้น
ยิ่งกว่านั้น คสช.และรัฐบาลก็ทำให้โครงการ”ข้าวถุง”ของ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ กลายเป็นเรื่อง”ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์”
เมื่อมีการไล่จับกุม ขัดขวาง
พลันที่ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิตกต่ำลงถึงขั้นพ่อค้ารับซื้อจากชาวนามูลค่าเพียงตันละ 6,200-6,300 บาท
ก็กลายเป็นเรื่อง
เป็นเรื่องให้เกิดการเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในห้วงแห่งการรับจำนำข้าว
เพราะตอนนั้นทะยานไปถึงตันละ 20,000 ด้วยซ้ำ
ยิ่งเมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกเล่นงานทั้งถอดถอนและตระเตรียมจะยึดทรัพย์ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ยังออกมารับซื้อตันละ 15,000 บาท
แล้วผลิตเป็น”ข้าวถุง” ขายยังได้ “กำไร”
ยิ่งทำให้การเปรียบเทียบสร้างสีสันทั้งในทาง”เศรษฐกิจ”และในทาง “การเมือง”
คำถามก็คือ ทำได้อย่างไร
จากปฏิกิริยาในทางสังคมอัน “ชาวนา” ไม่ว่าในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียงแถวกันออกมาร้องเรียนกันพร้อมหน้า
คือ “รูปธรรม” อันเด่นชัด
คำยืนยันในเรื่อง”ราคา”ที่เสื่อมทรุดตกต่ำที่ไม่ควรมองข้ามน่าจะได้แก่คำยืนยันจาก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม
ตามปกติแล้ว นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม มอง”ตรงข้าม”เสมอ
แต่การออกมาเสนอมาตรการระยะเฉพาะหน้า ระยะกลาง ระยะยาวของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม เท่ากับเป็นการยอมรับ
ยอมรับว่าสถานการณ์”ราคาข้าว” ไม่ดี
เท่ากับว่ากรณี”ราคาข้าว”ตกต่ำมิได้เป็นเรื่อง”สร้าง”สถาน การณ์ หากแต่เป็น”ความจริง” ถึงขั้นต้องออกมาตรการ”จำนำ”ขึ้นมา
แม้จะเป็นการจำนำ”ยุ้งฉาง” มิได้เป็นการจำนำ”ข้าว”ในแบบของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ตาม