สมาคมโรงสีข้าวไทย ประกาศยุติบทบาท “มานัส”พร้อมบอร์ดทั้งคณะเปิดทางเฟ้นหาชุดใหม่ทำงานแทน หลังถูกสังคมตราหน้าเป็นผู้ร้าย

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน เวลา 10.30น. ที่สมาคมโรงสีข้าวไทย ซ.เจริญกรุง 24 สัมพันธ์วงศ์ นายมานัส กิจประเสริฐ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย เปิดแถลงว่า คณะกรรมการบริหารสมาคมฯทั้งชุด ขอยุติบทบาท ทั้งตำแหน่งนายกสมาคมฯ และในคณะกรรมการต่างๆ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพราะได้พิจารณาแล้วว่าสมาคมฯไม่สามารถทำให้สถานการณ์ราคาข้าวดีขึ้นได้ตามที่ชาวนาและทุกฝ่ายคาดหวังไว้ แม้ว่าที่ผ่านมาสมาคมฯพยายามให้ความร่วมมือกับทางราชการ และทำการค้าที่เป็นธรรมกับชาวนาแล้ว จากนี้ไปสมาชิกของสมาคมกว่า 1,000 ราย ถือเป็นปัจเจกบุคคล สมาคมฯไม่สามารถให้คุณหรือโทษได้ แต่ได้ขอความร่วมมือจากสมาชิกว่าให้รับซื้อข้าวจากชาวนาต่อไป จากนี้ต้องรอเวลาที่เหมาะสมในการประชุมใหญ่ประจำปีนี้ของสมาคมฯ เพื่อสรรหานายกสมาคมฯและคณะกรรมการชุดใหม่

“สาเหตุที่ลาออกจากตำแหน่งครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากความน้อยใจภาครัฐหรือนายกรัฐมนตรี ผมมีความศรัทธาในตัวของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่เคยคิดจะทำลายรัฐบาล แต่ข้อมูลเรื่องข้าวที่สมาคมให้ไว้กับทางราชการอาจไปไม่ถึงหรือมีการบิดเบือน จนทำให้โรงสีเป็นจำเลยของสังคม เนื่องจากความเข้าใจผิดที่ว่า โรงสีเป็นพ่อค้าคนกลาง เป็นตัวการสำคัญที่สามารถกำหนดราคาข้าวเปลือกได้ ความจริงคือโรงสีรับซื้อข้าวจากชาวนาตามคุณภาพข้าว โรงสีข้าวไม่สามารถจะกำหนดราคาข้าวสารได้เองเมื่อแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร ต้องขายข้าวสารผ่านพ่อค้าโดยที่พ่อค้าเป็นผู้กำหนดราคาซื้อ-ขายข้าวสาร เพื่อนำมาคำนวณกลับเป็นราคาข้าวเปลือก ขณะเดียวกันการดำเนินงานของสมาคมฯยืนบนหลักการที่สำคัญ คือ ดำเนินตามนโยบายรัฐบาล ไม่เคยขัดแย้งหรือหวังผลใดๆทางการเมือง เพราะเป็นภาคเอกชน เป็นฟันเฟืองหนึ่งในภาคธุรกิจข้าวเท่านั้น และชาวนาต้องมาก่อน ดังนั้นจึงขอปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่า โรงสีบางแห่งกดราคารับซื้อข้าวเปลือก หรือโรงสีร่วมมือกับฝ่ายการเมืองเพื่อกดราคาเพื่อหวังผลทางการเมือง”

นายมานัสกล่าวยืนยันอีกครั้งว่า ได้ทำตามหลักการอย่างเคร่งครัดในการทำงาน ทั้งให้ความร่วมมือ สนับสนุนนโยบายทุกรัฐบาล ให้ความสำคัญกับชาวนามาเป็นอันดับแรก และไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

ส่วนที่มีข่าวออกมาว่าข้าวเปลือกราคาตกต่ำ นายมานัส กล่าวว่าขอให้พิจารณาถึงราคาข้าวสารที่โรงสีขายออกไปด้วยว่ามีความสอดคล้องกับราคาข้าวเปลือกหรือไม่ ณ ราคาปัจจุบันที่โรงสีขายออกไปนั้น มีความเป็นเหตุเป็นผลสอดคล้องกันกับราคาข้าวเปลือกไม่ได้สวนทางกันแต่อย่างใด ขณะนี้ข้าวเปลือกหอมมะลิ ความชื้น 15% ราคาตันละ 9,000 -9,500 บาท ข้าวสารหอมมะลิตันละ 15,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% อยู่ที่ตันละ 7,200-7,500 บาท ข้าวสาร 5% ราคาตันละ 11,000 บาท นอกจากนี้ ยังพร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเครื่องชั่งเพื่อความโปร่งใส และเสนอให้มีเครื่องชั่งกลางเพื่อให้ชาวนาได้ตรวจสอบก่อนมาจำหน่ายโรงสีด้วย

Advertisement

“ราคาข้าวที่ปรับตัวลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาข้าวในตลาดโลกที่ลดลงและผลผลิตข้าวออกมาปริมาณมาก ส่วนราคาที่เกษตรกรได้รับจะขึ้นอยู่กับความชื้น หากมีความชื้นสูงจะได้ราคาต่ำ ในส่วนสมาคมฯพร้อมสนับสนุนชาวนาที่ขายข้าวให้กับเรา หรือชาวนาที่ต้องการขายข้าวเอง ใครติดขัดเรื่องอะไรก็แจ้งสมาคมให้สนับสนุนหรือเป็นพี่เลี้ยงได้” นายมานัสกล่าว

นายมานัส กล่าวทิ้งท้ายว่า ในส่วนการดำเนินตามนโยบายรัฐบาลปัจจุบันของสมาคมฯ อย่างการรับซื้อข้าวเปลือกปี 2559/60 ประมาณการรับซื้อที่ 8 ล้านตัน วงเงิน 80,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ที่ขอให้โรงสีรับซื้อข้าวจากชาวนา โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ 3% ของดอกเบี้ยที่โรงสีต้องจ่าย ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับวงเงิน 80,000 ล้านบาท อีกทั้งโรงสีเองต้องกู้เงินมาเพื่อรับซื้อข้าวมาเก็บในสต็อก เพื่อชะลอข้าวออกสู่ตลาดในช่วงที่ราคาข้าวตกต่ำ หากโรงสีไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ทำไมโรงสียังกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์มาซื้อข้าวตามนโยบายรัฐบาล โรงสีไม่ได้หยุดรับซื้อเพื่อกดราคาเหมือนพืชเกษตรอื่นๆที่ผู้ประกอบการหยุดรับซื้อหากไม่พอใจ เพราะหากโรงสีหยุดรับซื้อก็จะกลายเป็นปัญหาของชาวนา ซึ่งปัญหาจะใหญ่กว่าเดิม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image