สนช.ผุดโมเดลใหม่! ยามชาติเกิดวิกฤต ปธ.ศาลรธน.เรียกทหารหารือ แก้ปัญหาชาติได้

หนุน ส.ว.สรรหา หวั่นระบบเลือกไขว้ซ้ำรอยสภาที่ปรึกษาฯ ล้มที่มานายกฯ เหตุไม่เป็น ส.ส.ขาดความสง่างาม ชงสูตรแก้วิกฤตประเทศ วางโมเดลดึง “ศาล รธน.-กองทัพ-สตช.-องค์กรอิสระ” แก้ปัญหา

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณารายงาน คณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญศึกษาเสนอแนะ และรวบรวมความเห็น เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ขอรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อประกอบการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีนายสุรชัยเป็นประธาน โดยนายกล้านรงค์ จันทิก รองประธาน กมธ. กล่าวนำเสนอรายงานเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญว่า มี 5 ประเด็นสำคัญ คือ 1.ที่มา ส.ส.ควรกำหนดให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แบ่งเป็นสำหรับเลือก ส.ส.แบบเขตเลือกตั้ง และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพราะการใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ สามารถสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนได้อย่างแท้จริง

นายกล้านรงค์กล่าวว่า ในกรณีที่ประชาชนประสงค์จะลงคะแนนผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตที่สังกัดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีอยู่ในบัญชีรายชื่ออีกพรรคการเมืองหนึ่ง และเป็นรูปแบบที่ประเทศไทยใช้มาระยะหนึ่งจนกระทั่งประชาชนเริ่มมีความเข้าใจและคุ้นเคยกับการใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบแล้ว ดังนั้น การเปลี่ยนรูปแบบไปใช้บัตรเลือกตั้งแบบใบเดียว อาจทำให้เกิดความสับสนแก่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อีกทั้งการใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ทำให้การทุ่มซื้อเสียงของพรรคการเมืองทำได้ยากขึ้น เนื่องจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถเลือกตัวบุคคลและพรรคการเมืองแยกจากกันได้

นายกล้านรงค์กล่าวต่อว่า การกำหนดเขตเลือกตั้งควรกำหนดเขตเลือกตั้งแบบเขตใหญ่เรียงเบอร์ (ส.ส. 3 คนต่อ 1 เขตเลือกตั้ง) เพราะการกำหนดเขตเลือกตั้งให้มีขนาดใหญ่ จะทำให้การซื้อสิทธิขายเสียงเป็นไปได้ยากกว่าการกำหนดเขตเลือกตั้งขนาดเล็ก ช่วยให้การควบคุมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชนโดยผู้มีอิทธิพลไม่สามารถกระทำได้โดยง่าย และทำให้การแข่งขันภายในพื้นที่ลดความรุนแรง นอกจากนี้ การกำหนดเขตเลือกตั้งควรคำนึงถึงหลักการสำคัญคือ การกำหนดรูปแบบที่จะสามารถฟ้องการซื้อสิทธิขายเสียงได้ หรือทำให้การซื้อสิทธิขายเสียงกระทำได้โดยยากที่สุด อันจะทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม และสามารถสะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชนได้ ส่วนการคิดคะแนน ส.ส.ควรใช้วิธีแบบสัดส่วนผสม เพราะเป็นวิธีที่ทำให้สะท้อนเจตจำนงของประชาชนในเรื่องของความนิยมต่อพรรคการเมือง และทำให้ทุกคะแนนเสียงถูกนำมาคำนวณหา ส.ส.ทั้งหมดที่พรรคการเมืองพึงมี และเห็นว่าจำนวน ส.ส.ควรมีไม่น้อยกว่า 500 คน โดยแบ่งเป็น ส.ส.เขต 350 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่น้อยกว่า 150 คน

Advertisement

นายกล้านรงค์กล่าวว่า 2.ที่มา ส.ว.เห็นควรให้มี ส.ว.จำนวน 200 คน มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 6 ปี มาจากการสรรหาทั้งหมด จากกลุ่มอาชีพและกลุ่มสังคมที่หลากหลาย และให้มีคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ในการสรรหา ส.ว.ซึ่งประกอบด้วยผู้นำองค์กรตามที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ ควรกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ ตลอดจนแนวทางในการป้องกันไม่ให้เกิดระบบอุปถัมภ์ในกระบวนการสรรหา หรือใช้ความใกล้ชิดของผู้ที่ได้รับการสรรหากับกรรมการสรรหา อันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของกระบวนการได้มาซึ่ง ส.ว. ทั้งนี้ เหตุผลที่ให้ ส.ว.มีจำนวน 200 คน และมาจากการสรรหาทั้งหมดนั้น เพราะประเทศไทยปกครองในระบบรัฐสภา จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร  ดังนั้น การกำหนดให้ ส.ว.มีที่มาจากการสรรหา ซึ่งไม่มีความเชื่อมโยงจากพรรคการเมืองและแตกต่างจากที่มา ส.ส. จึงมีความเป็นอิสระในการกลั่นกรองกฎหมายและตรวจสอบถ่วงดุลการดำเนินงานของสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาล

นายกล้านรงค์กล่าวอีกว่า เหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับการกำหนดให้ ส.ว.มาจากการเลือกกันเองของกลุ่มต่างๆ เพราะการเลือกกันเองของกลุ่มต่างๆ แบบเลือกข้ามกลุ่ม เป็นการดำเนินการที่มีความซับซ้อนทำให้เกิดความยุ่งยาก แต่ละกลุ่มต้องเลือกบุคคลจากกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่รู้จักกัน ซึ่งไม่ใช่เป็นตัวแทนของกลุ่มอาชีพตามเจตนารมณ์ของ กรธ. อีกทั้งอาจถูกแทรกแซงและแลกเปลี่ยนตอบแทนผลประโยชน์ในกลุ่ม และระหว่างกลุ่มจากผู้มีอิทธิพลทางการเมือง ดังเช่นการเลือกสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือการเลือก กสทช. ส่วนอำนาจหน้าที่ของ ส.ว.เห็นว่าควรมีบทบัญญัติการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามรัฐธรรมนูญปี 50 ไว้ เพราะการกำหนดให้ศาลเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ในการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง อาจทำให้ศาลถูกวิพากษ์วิจารณ์ในการตัดสินคดี ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของศาลได้

นายกล้านรงค์กล่าวว่า 3.การกำหนดที่มานายกรัฐมนตรี ไม่เห็นด้วยกับหลักการที่กำหนดให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อบุคคลผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกฯ พรรคละไม่เกิน 3 ชื่อ ถือเป็นการจำกัดสิทธิของสภาในการพิจารณาให้ความเห็นชอบเฉพาะบุคคลที่พรรคการเมืองเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกฯเท่านั้น และถ้ารายชื่อที่ถูกเสนอนั้นคัดเลือกมาจากกลุ่มผู้สมัครรับเลือกตั้ง และเมื่อประกาศผลการเลือกตั้งบุคคลตามรายชื่อดังกล่าวได้รับการเลือกตั้ง บุคคลเหล่านั้นจะมีสถานภาพเป็น ส.ส. แต่ถ้าแพ้การเลือกตั้งบุคคลเหล่านั้นจะไม่มีสถานภาพเป็น ส.ส. ซึ่งดูจะเป็นการไม่เหมาะสมที่จะนำรายชื่อเหล่านั้นเสนอให้สภาลงมติให้การรับรองเป็นนายกฯ นอกจากนี้ ในกรณีที่พรรคการเมืองเสนอรายชื่อผู้ที่พรรคจะเสนอเป็นนายกฯ โดยเลือกจากบุคคลซึ่งไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็จะเป็นจุดอ่อนให้พรรคการเมืองอื่นโจมตีได้ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย

Advertisement

นายกล้านรงค์กล่าวอีกว่า 4.ความจำเป็นที่ต้องมีกลไกเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ มีความจำเป็นที่ต้องมีกลไกเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศเฉพาะในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดแนวทางการดำเนินการเอาไว้ หรือในกรณีที่สถาบันทางการเมืองไม่สามารถใช้อำนาจรัฐหรืออำนาจบริหารในการบริหารประเทศได้ ควรกำหนดให้มีกลไกที่เป็นที่ยอมรับของสังคม เพื่อทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ โดยใช้เป็นอำนาจของรัฐสภาหรือวุฒิสภาในกรณีที่ไม่มีสภา หรือมีสภาแต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ แล้วแต่กรณีที่จะวินิจฉัยว่าสถานการณ์ใดที่จะถือว่าเป็นวิกฤตของประเทศ และหากปรากฏว่ารัฐสภาหรือวุฒิสภาแล้วแต่กรณีมีคำวินิจฉัยว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นวิกฤตของประเทศแล้ว ให้เป็นอำนาจของประธานศาลรัฐธรรมนูญในการเรียกประชุมร่วมกันของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ปลัดกระทรวงกลาโหม และบุคคลอื่นใดตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยให้ที่ประชุมดังกล่าวมีอำนาจในการบริหารจัดการสถานการณ์เพื่อให้สถานการณ์กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว

นายกล้านรงค์กล่าวด้วยว่า และ 5.ประเด็นสำคัญอื่นๆ คือ 5.1 เห็นควรให้นำบทบัญญัติในมาตรา 4 ว่าด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญปี 50 มาบัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพื่อคุ้มครองเกี่ยวกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ส่วนการให้นำบทบัญญัติมาตรา 7 มาไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ เพราะเห็นว่าการนำบทบัญญัติมาตรา 7 เดิมไปไว้ในร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 207 ทำให้เกิดข้อจำกัดในการนำมาตราดังกล่าวไปปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งสามารถใช้ได้เพียงตามกรอบของมาตรา 205 เท่านั้น และองค์กรอื่นก็ไม่สามารถนำหลักดังกล่าวไปใช้ได้เช่นกัน 5.2 ควรเพิ่มบทบัญญัติให้รัฐต้องสนับสนุนส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนชาวไทยซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนไว้ในหมวดหน้าที่ของรัฐ 5.3 ควรให้คงหลักการตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญปี 50 ในเรื่องสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ กล่าวคือ กำหนดแนวทางเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีบุคคลใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเป็น 2 แนวทางคือ 1. ให้ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวยื่นเรื่องผ่านอัยการสูงสุดเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือ 2. ให้ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวสามารถยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง

นายกล้านรงค์กล่าวว่า 5.4 ควรเพิ่มความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดกำลังทหารเพื่อให้การรักษาอธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ เกิดประสิทธิภาพอย่างแท้จริง 5.5 ควรนำแนวนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินตามมาตรา 78 (2) ของรัฐธรรมนูญปี 50 ว่าการบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น มากำหนดไว้ในร่างรัฐธรรมนูญนี้ด้วย 5.6 ยกเลิกข้อจำกัดสิทธิ ในการฟ้องร้องรัฐของประชาชน โดยเห็นว่าในมาตรา 60 ของร่างรัฐธรรมนูญควรมีเนื้อหาดังนี้ “มาตรา 60 บทบัญญัติในหมวดนี้เป็นแนวทางให้รัฐดำเนินการตรากฎหมายและกำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน” 5.7 กำหนดให้รัฐต้องมีหน้าที่ต้องจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติ อันจะเป็นการบังคับทิศทางให้ยุทธศาสตร์ชาติได้รับการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจากรัฐบาลในอนาคต 5.8 เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับการตีความของหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ดังนั้น ควรนำรายละเอียดของความหมายของหนังสือสัญญาที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ที่ได้มีการบัญญัติไว้ในบทเฉพาะกาล มาตรา 265 ของร่างรัฐธรรมนูญมาบัญญัติไว้ในมาตารา 73 ของร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดความชัดเจนแทน

นายกล้านรงค์กล่าวว่า 5.9 ควรบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในหมวดศาล เช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 40 และ 50 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสับสนเกี่ยวกับสถานะของศาลรัฐธรรมนูญ และเห็นการกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมควรให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน 5.10 ควรกำหนดรายละเอียดของการดำเนินการเพื่อให้เกิดการปฏิรูป โดยแยกออกมาจากบทเฉพาะกาล มาเป็นอีกหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญนี้ 5.11 การห้ามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ครม. สนช. และ สปท. สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. หรือเป็น ส.ว. เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวภายใน 90 วัน นับแต่ร่างรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ คณะกรรมาธิการฯขอตั้งประเด็นคำถามต่อ กรธ.ว่า เพราะเหตุใดจึงมีการบัญญัติถ้อยคำดังกล่าวเอาไว้ และถือเป็นการจำกัดสิทธิในการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 50 และฉบับชั่วคราว 57 ไม่มีบทบัญญัติอันเป็นการจำกัดสิทธิในลักษณะดังกล่าวเอาไว้

นายกล้านรงค์กล่าวต่อว่า 5.12 การกำหนดกรอบเวลาในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญของ สนช.ตามบทเฉพาะกาล เบื้องต้นเห็นว่า กรธ.จะต้องทำให้แล้วเสร็จทั้ง 10 ฉบับภายในเวลาที่กำหนด เนื่องจากหากจัดทำไม่แล้วเสร็จภายในเวลานี้ โอกาสที่จะมีการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ประกอบธรรมนูญทั้งหมดให้แล้วเสร็จ และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญจะไม่บรรลุผล เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต และ 5.13 การกำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสนอหรือผู้มีหน้าที่พิจารณากฎหมายที่ไม่ดำเนินการภายในเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด หรือภายในเวลาอันสมควร ให้ถือว่าจงใจไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ คณะกรรมาธิการฯเห็นว่าควรนำเนื้อหามาตรา 283 ของรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ มาไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้การไม่ดำเนินการตรากฎหมายภายในเวลาที่กำหนดของ ครม. ส.ส. หรือ ส.ว. ถือเป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย หรือเป็นเหตุที่ไม่ได้มีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย

จากนั้นที่ประชุมมีมติเอกฉันท์เห็นชอบ 160 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง ให้ส่งรายงานฉบับนี้ไปให้ กรธ.ประกอบการพิจารณาในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image