ในหลวง ร.9 ในความทรงจำ ‘สุรเกียรติ์ เสถียรไทย’ กับภาพถ่ายที่มิรู้ลืม

“หากจะพูดให้หมดคงจะไม่ได้”

นี่คือสิ่งที่ ดร.สุรเกียรติ์เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าว หลังจากเล่าถึงการทรงงานด้านการต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือ ในหลวงรัชกาลที่ 9

ก่อนที่เขาจะทิ้งท้ายสำทับว่า “การทรงงานด้านต่างประเทศของพระองค์ จึงเป็นตัวอย่างแห่งการปิดทองหลังพระอย่างแท้จริง” ตามที่ทาง “มติชน” ได้นำส่วนหนึ่งใน “ความทรงจำ” ของสุรเกียรติ์เรียบเรียงไว้ในสกู๊ป “ทรงปิดทองหลังพระ ในหลวง ร.9 กับการต่างประเทศ” ตีพิมพ์ในวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พูดคุยให้สัมภาษณ์กันเสร็จสิ้น ยังคงมีเรื่องราวอีกส่วนหนึ่งที่สุรเกียรติ์ได้นำมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมผ่านทาง “อัลบั้มภาพ” ที่เขาถือเสมือนเป็นสมบัติล้ำค่า เพราะเป็นบันทึกความทรงจำส่วนตัวว่าครั้งหนึ่งเคยได้มีโอกาสอันยิ่งใหญ่สูงสุดในชีวิตที่ได้ถวายงานรับใช้พระมหากษัตริย์พระองค์นี้

Advertisement

สุรเกียรติ์ยิ้มเล็กน้อย ก่อนนำอัลบั้มภาพที่ประกอบไปด้วยพระบรมฉายาลักษณ์กางออกพร้อมเล่าไล่เรียงไปทีละภาพ

โดยหลายภาพเป็นภาพที่คนไทยไม่เคยเห็น หลายภาพแฝงไปด้วยเรื่องราวที่คนไทยไม่เคยได้ยิน

“นี่เป็นภาพที่ผมได้มีโอกาสนำสามผู้นำมหาอำนาจของโลก ทั้ง จอร์จ ดับเบิลยู บุช, วลาดิมีร์ ปูติน และหู จิ่นเทา เข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านในฐานะพระราชอาคันตุกะ ในระหว่างการประชุมเอเปคเมื่อปี 2546”

สุรเกียรติ์เริ่มต้นด้วยการอธิบายภาพชุดสามใบที่เป็นรูปตัวเขาพร้อมด้วยภริยาทำความเคารพต่อ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ และผู้นำมหาอำนาจทั้ง 3 คน ในฐานะพระราชอาคันตุกะ ตลอด 3 วัน ระหว่างการประชุมเอเปค เมื่อปี พ.ศ.2546

1 2

3
ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย พร้อมด้วย ท่านผู้หญิง ดร.สุธาวัลย์ เสถียรไทย ทำความเคารพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ และผู้นำมหาอำนาจทั้ง 3 คน (จอร์จ ดับเบิลยู. บุช, วลาดิมีร์ ปูติน และหู จิ่นเทา) ในฐานะพระราชอาคันตุกะ ตลอด 3 วัน ระหว่างการประชุมเอเปค เมื่อปี พ.ศ.2546

“พระองค์ได้แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถอันยิ่งใหญ่ในการทรงงานด้านต่างประเทศ เนื่องจากทรงรับผู้นำมหาอำนาจทั้งสามประเทศไว้เป็นพระราชอาคันตุกะติดต่อกันสามวันวันละหนึ่งท่าน ทั้งที่ตามปกติแล้วการเยือนอย่างเป็นทางการระหว่างประมุขของรัฐเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่นี่เกิดขึ้นติดต่อกันสามวัน และยังเป็นสามมหาอำนาจของโลกอีกด้วย

“ทั้งนี้ก็เพียงเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยอยู่ในสายตาของชาวโลก ท่ามกลางสถานการณ์อันผันผวนของการเมืองโลกในเวลานั้น”

สุรเกียรติ์ยิ้มยืนยันในคำพูด ก่อนที่จะพลิกอัลบั้มไปยังหน้าถัดไปที่เป็นภาพของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระสรวล โดยมีตัวเขาเองนั่งอยู่ที่พื้น ณ ราชนาวิกสภา ในช่วงพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี

ซึ่งเป็นภาพเรื่องราวในความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับภาพนี้สำหรับสุรเกียรติ์คือการทรงสอนของพระองค์ท่าน

สุรเกียรติ์เล่าว่า การที่ได้ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการเตรียมการเชิญและจัดกิจกรรมในช่วงเวลานั้นถือว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้เป็นส่วนเล็กๆ ที่ทำให้พระบารมีของพระองค์ท่านได้เกริกไกร แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่ประทับใจและมิเคยลืม คือคำสอนของพระองค์ท่าน แม้ว่าเป็นเรื่องที่เล็กน้อยก็ตาม

“วันที่ 12 มิถุนายน รัฐบาลได้เป็นเจ้าภาพในการจัดงาน ผมในฐานะประธานจัดงานก็ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯที่ราชนาวิกสภา ก่อนที่องค์พระประมุขจากประเทศต่างๆ จะเสด็จมาดูกระบวนเรือพระราชพิธี พระองค์ท่านก็รับสั่งกับผมว่า การทำงานจะต้องมีตำรา ตอนนั้นผมยอมรับว่าตามไม่ทันได้เพียงแค่ตอบว่า พระพุทธเจ้าค่ะ แล้วท่านก็รับสั่งต่อว่า ตำราจะต้องมีตำรับ ซึ่งผมก็ยังคงตามไม่ทันเช่นเดิม

“แล้วพระองค์ท่านก็บอกว่า วันนี้สำนักพระราชวังก็ไม่รู้เรื่อง สำนักพระราชเลขาก็ต้องถือว่าไม่รู้เรื่อง รองนายกรัฐมนตรี เป็นคนเดียวที่รู้เรื่อง”

สุรเกียรติ์เล่าต่อว่า หลังจากนั้นผู้ใหญ่ในสำนักพระราชวังก็มาสะกิดก่อนบอกว่า วันนี้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพ เพราะฉะนั้นประธานจัดงานถือเป็น “ตำรับ” ของตำรา ดังนั้นควรจะต้องเป็นคนกราบบังคมทูลทุกขั้นตอนว่าจะต้องทรงทำอะไรในวันนั้นเพราะเป็นคนที่รู้ดีที่สุด

“นี่คือสิ่งที่ไม่มีสอนอยู่ในหนังสือเรียนที่ไหน ซึ่งผมเองก็จดจำประโยคที่ว่า การทำงานจะต้องมีตำรา ตำราจะต้องมีตำรับมาจนถึงทุกวันนี้โดยไม่เคยลืม”

ก่อนที่เขาจะบอกอีกว่า นี่เป็นหนึ่งภาพที่เขาชื่นชอบมากที่สุด เพราะบรรยากาศของภาพนั้นดูแล้ว “น่ารักและอบอุ่น” เป็นอย่างยิ่ง

อีกภาพและอีกหนึ่งเรื่องราวที่สุรเกียรติ์ เห็นแล้วจะนึกย้อนความทรงจำไปในวันนั้นทุกครั้งที่เห็น คือ ภาพที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีกว่า 19 ประเทศ บนโต๊ะประชุมที่จัดขึ้นเป็นพิเศษ ณ ศาลาเริง วังไกลกังวล

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีกว่า 19 ประเทศ บนโต๊ะประชุมที่จัดขึ้นเป็นพิเศษ ณ ศาลาเริง วังไกลกังวล
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีกว่า 19 ประเทศ บนโต๊ะประชุมที่จัดขึ้นเป็นพิเศษ ณ ศาลาเริง วังไกลกังวล

สุรเกียรติ์เล่าว่า สืบเนื่องมาจากปี พ.ศ.2545 ที่ประชุม 40 รัฐมนตรี พร้อมด้วยเลขาธิการอังค์ถัด (UNCTAD) มีมติร่วมกันว่า ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ถือเป็นทางเลือกหนึ่งของการพัฒนา หลังจากนั้นสองปีถัดมาได้มีรัฐมนตรีจากประเทศต่างๆ มาขอดูงานทั้งโครงการพระราชดำริและศูนย์ศึกษาพัฒนาเป็นจำนวนมาก จึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระองค์ท่านว่าในการจัดการประชุมดูงานตามสถานที่ต่างๆ โดยมีรัฐมนตรีจาก 19 ประเทศเข้าร่วม

“ตอนนั้นได้จัดการประชุมตระเวนลงพื้นที่ไปทั่วประเทศเพื่อไปดูศูนย์ศึกษาพัฒนาในพื้นที่ตามจังหวัดต่างๆ เมื่อเสร็จตามกำหนดการแล้วก็ขอพระราชทานเข้าเฝ้าฯ ท่านก็ทรงให้เข้าเฝ้าฯที่วังไกลกังวล”

สุรเกียรติ์เล่าต่อว่า เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เห็นพระองค์ท่านทรงมีรับสั่งให้จัดโต๊ะประชุมในศาลาเริง โดยเป็นโต๊ะประชุมยาวพร้อมไมโครโฟนประจำตามที่นั่ง เหตุเพราะพระองค์ท่านทรงคาดการณ์ไว้ว่ารัฐมนตรีหลายท่านอาจมีคำถามหลังจากที่ได้มีโอกาสลงพื้นที่

และก็เป็นอย่างที่พระองค์ทรงคาดการณ์ สุรเกียรติ์บอกว่าใจหายใจคว่ำเพราะไม่รู้ว่ารัฐมนตรีแต่ละท่านจะถามอะไร แต่นั่นกลับกลายเป็นการแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์อย่างแจ่มชัด

“คนที่ถามเป็นภาษาอังกฤษ พระองค์ท่านก็จะทรงตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ บางคนถามเป็นภาษาฝรั่งเศสท่านก็ทรงตอบเป็นภาษาฝรั่งเศส พร้อมแปลกลับเป็นภาษาอังกฤษให้อีกเนื่องจากเกรงว่าจะไม่เข้าใจกันทุกคน”

สุรเกียรติ์ยืนยันว่า ไม่มีคำถามใดที่พระองค์ท่านไม่ตอบ หลายคำถามเป็นคำถามที่ยาก แต่ทรงตอบได้อย่างชาญฉลาด อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าทรงทำงานด้านการต่างประเทศอย่างหนัก

“ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน คือ ทรงยอดเยี่ยมจริงๆ แสดงว่าพระองค์ท่านไม่เคยมีเวลาว่าง เพราะในขณะที่พระองค์ท่านเสด็จฯ เยือนต่างประเทศครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ.2537 แต่องค์ความรู้เรื่องต่างประเทศพระองค์ทรงมีมากกว่าผมที่เดินทางไปประชุมระหว่างต่างประเทศแทบทุกอาทิตย์ในช่วงเวลานั้นเสียอีก เพราะทรงทราบว่าประเทศเขามีข้อจำกัดในเรื่องใดบ้าง ทั้งภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมือง

“บางคำถามที่ถามผมถึงกับกังวล แต่เมื่อท่านตอบกลับไป ผมรู้ทันทีว่าท่านทรงรู้จักประเทศของเขาอย่างลึกซึ้งจริงๆ”

สุรเกียรติ์บอกว่า ในวันนั้นเขาได้เห็นพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่านอย่างที่ไม่อาจได้เห็นในหน้าหนังสือหรือจากสื่อที่ไหนได้อีก

เมื่อเสร็จสิ้นการประชุม รัฐมนตรีจาก 19 ประเทศ ที่ออกมาจากศาลาเริงต่างออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันกับสุรเกียรติ์ว่า “คุณโชคดีจริงๆ ที่มีกษัตริย์แบบนี้ การที่คุณมีโอกาสได้เรียนรู้จากพระองค์ท่านเสมอถือเป็นโชคมหาศาล”

“ผมคิดเสมอว่าคงไม่มีอีกแล้วในโลก” สุรเกียรติ์กล่าวทิ้งท้าย

ก่อนที่เขาจะปิดอัลบั้มภาพพร้อมรอยยิ้มอันเปี่ยมสุขที่ได้เล่าและนึกทวนความทรงจำที่มีต่อกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่

ผู้ที่ทรงเป็นที่เคารพรักยิ่งของตัวเขาและปวงชนชาวไทย

สุรเกียรติ์ เสถียรไทย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image