ที่มา | นสพ.มติชน รายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | ชาคร ศิริสุวรรณสิทธิ์ |
เผยแพร่ |
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะองค์อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงพระพุทธศาสนาในต่างประเทศด้วย นั่นจึงเป็นที่มาของ “โครงการกฐินพระราชทาน” ที่กระทรวงการต่างประเทศอัญเชิญไปทอดถวายในวัดพุทธที่อยู่ในต่างประเทศ โครงการซึ่งดำเนินการมานับตั้งแต่ปี 2538 จนบัดนี้มีประเทศที่ร่วมโครงการกฐินพระราชทานแล้ว 13 ประเทศ อันได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย จีน ศรีลังกา อินเดีย เนปาล บังกลาเทศ และภูฏาน
กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินโครงการอัญเชิญผ้าพระกฐินไปทอดถวายที่ประเทศศรีลังกาเป็นประจำ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2539 โดยในปีนี้ได้มีการอัญเชิญผ้าพระกฐินไปทอดถวาย “วัดเกลาณียะราชมหาวิหาร” วัดที่ตั้งอยู่ในกรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีเป้าหมายเพื่อใช้พระพุทธศาสนาในฐานะทูตวัฒนธรรมเชื่อมสัมพันธ์กับชาวศรีลังกาให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
ประเทศศรีลังกามีประชากรกว่า 70 เปอร์เซ็นต์นับถือพุทธศาสนา มีความใกล้ชิดกับประเทศไทยนับถอยหลังไปหลายร้อยปี จากการแลกเปลี่ยนด้านศาสนา และไทยมีบทบาทสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาในศรีลังกาที่กำลังเสื่อมลงกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งนับจนถึงปัจจุบัน
ขณะที่ “วัดเกลาณียะราชมหาวิหาร” วัดซึ่งสร้างมาเป็นเวลายาวนานถึง 300 ปี ยังมีความใกล้ชิดกับประเทศไทยในฐานะวัดที่ได้รับพระราชทานช้างพลาย “กันดูล่า” จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อปี 2544 เพื่อใช้เป็นพาหนะในการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุในพิธีแห่พระบรมสารีริกธาตุของวัดเป็นประจำทุกปีด้วย
เรื่องราวในประวัติศาสตร์นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ชาวศรีลังกามีความใกล้ชิดและชื่นชมชาวไทยอยู่ไม่น้อย นั่นทำให้คณะผู้แทนไทยซึ่งนำโดย
นายอภิชาติ ชินวรรโณ อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธาน อัญเชิญผ้าพระกฐินไปทอดถวายที่วัดเกลาณียะราชมหาวิหารนั้นได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ทั้งจากคณะพระสงฆ์ของวัด รวมไปถึงประชาชนนับร้อยคนที่ร่วมกิจกรรมทางพุทธศาสนาครั้งนี้ด้วยความเลื่อมใสยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้เห็นวัฒนธรรมของพุทธศาสนิกชนที่ต่างถอดรองเท้าตั้งแต่ย่างเท้าเข้าขอบขัณฑสีมาของวัด ทำให้คณะอัญเชิญผ้าพระกฐินสัมผัสได้ถึงแรงศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกาอย่างชัดเจน
หลังเสร็จสิ้นพิธี คณะอัญเชิญผ้าพระกฐินยังได้รับการต้อนรับจากพระโกลลูพิตติยะ มหินดะ สังฆรัคคิตะ เจ้าอาวาสของวัดเกลาณียะราชมหาวิหาร ที่พาคณะผู้แทนไทยเยี่ยมชมศาสนสถานในวัดอย่างเป็นกันเอง และยังได้นำช้างพลาย “กันดูล่า” มาพบกับคณะผู้แทนให้ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดด้วย
ทั้งนี้ การอัญเชิญผ้าพระกฐินในครั้งนี้สามารถรวบรวมยอดเงินบริจาคที่จะถวายให้กับวัดรวม 348,080 บาท แบ่งเป็นเงินพระราชทานบำรุงวัดจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจำนวน 30,000 บาท เงินถวายเป็นพระราชกุศลจากกระทรวงการต่างประเทศจำนวน 300,000 บาท และเงินบริจาคจากพุทธศาสนิกชนจำนวน 18,080 บาท
นายอภิชาติ ในฐานะประธานคณะอัญเชิญผ้าพระกฐินระบุถึงความรู้สึกในการร่วมพิธีครั้งนี้ว่า รู้สึกได้ว่าชาวศรีลังกาให้การต้อนรับด้วยความอบอุ่น ส่วนหนึ่งเพราะสายสัมพันธ์ศรัทธาที่มีร่วมกัน ทำให้ประชาชนสองประเทศมีจุดเชื่อมโยงที่ทำให้ชาวศรีลังการู้สึกดีกับชาวไทย
นอกจากนี้ นายอภิชาติยังกล่าวถึงพระโกลลูพิตติยะ มหินดะ สังฆรัคคิตะ เจ้าอาวาสของวัดเกลาณียะราชมหาวิหาร ที่ได้กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยว่า ท่านเจ้าอาวาสเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก ท่านเจ้าอาวาสได้ระบุผ่านสุนทรพจน์ด้วยว่า การเสด็จสวรรคตของพระองค์เป็นความสูญเสียสำคัญของพระพุทธศาสนา เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้านมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การที่ท่านเจ้าอาวาสได้รับรู้ถึงพระราชกรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างมากมายแล้ว จึงทำให้ท่านเข้าใจชาวไทยถึงความสูญเสียในครั้งนี้
อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศระบุด้วยว่า กฐินพระราชทานซึ่งนับเป็นกฐินพระราชทานในต่างประเทศครั้งสุดท้ายในรัชกาลที่ 9 นี้ ควรจะดำเนินโครงการต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพราะจะเป็นกิจกรรมที่ช่วยยึดเหนี่ยวความสัมพันธ์ในระดับประชาชน โดยเฉพาะในประเทศที่นับถือพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี
ด้าน นายนพพร อัจฉริยวนิช เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโคลัมโบ กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและศรีลังกาว่า ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศอยู่ในเกณฑ์ดีมาก เพราะคนส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนาเหมือนกัน
“ย้อนกลับไปเมื่อ 800 ปีก่อน พระศรีลังกาเดินทางมายังสุวรรณภูมิตามคำร้องขอของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช หลังจากนั้นก็ขึ้นไปที่สุโขทัย ทำให้เรานับถือพระพุทธศาสนาเป็นต้นมา ต่อมาเมื่อ 262 ปีก่อน ศรีลังกาเกิดปัญหาเพราะอยู่ภายใต้อาณานิคมชาติตะวันตกก็ทำลายพุทธศาสนา ทำลายวัด บังคับคนเข้ารีต ทำให้ศาสนาในศรีลังกาเสื่อมลงจนเกือบจะไม่มีพระ กษัตริย์ศรีลังกาในตอนนั้นเลยขอความช่วยเหลือจากไทยในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศส่งพระมาอุปสมบทพระในศรีลังกา จึงเป็นต้นกำเนิดของสยามนิกายในศรีลังกาขึ้น” นายนพพรกล่าว และว่า ชาวพุทธในศรีลังกาจะเคร่งศาสนามาก พวกเขาจะไปวัดทุกวันพระ ทุกวันอาทิตย์ แต่งชุดขาวเข้าวัด วันพระจะไม่มีการฆ่าสัตว์และไม่เปิดสถานบันเทิง และเมื่อเขารู้ว่าเราเป็นพุทธ และเขาเองก็รับพุทธศาสนามาจากไทย เขาจึงชื่นชมประเทศไทย
นายนพพรระบุด้วยว่า การอัญเชิญกฐินพระราชทานมาทอดที่ประเทศศรีลังกาในครั้งนี้จะช่วยเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนได้เป็นอย่างดี เพราะการจัดกฐินแต่ละครั้งจะมีชาวศรีลังกามาร่วมด้วย ขณะที่ชาวศรีลังกาเองก็รู้จักราชวงศ์ไทยเป็นอย่างดี รู้จักตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เพราะในสมัยที่เสด็จประพาสยุโรปนั้นทรงแวะประทับที่ศรีลังกา และเคยเสด็จฯเยือนวัดศรีปรมะนันทะราชมหาวิหาร วัดที่มีศาลาที่ชื่อว่าจุฬาลงกรณ์ ที่รัชกาลที่ 5 ทรงวางศิลาฤกษ์ไว้ และยังมีต้นไม้ทรงปลูกของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารด้วย ซึ่งที่วัดนี้ก็เคยจัดกฐินพระราชทานมาทอดถวายแล้ว ดังนั้น การจัดกฐินพระราชทานในครั้งนี้จึงถือเป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์ของสองประเทศได้เป็นอย่างดี
ตลอด 21 ปีที่ผ่านมา กฐินพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทำหน้าที่ในการสร้างสัมพันธ์ สร้างความรู้สึกที่ดีไม่เฉพาะระหว่างไทยและศรีลังกาเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่ได้ซาบซึ้งต่อพระมหากรุณาธิคุณในฐานะองค์ศาสนูปถัมภกของในหลวงรัชกาลที่ 9
แม้กฐินพระราชทานในครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายในยุคสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 แต่เชื่อแน่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยและศรีลังกาในทุกๆ ระดับจะยังคงได้รับการประสานความร่วมมือให้ก้าวหน้าต่อไปอย่างยั่งยืนแน่นอน