ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
เผยแพร่ |
พล.ต.สำเริง ไชยยงค์ หรือชื่อเดิม สำรวย ไชยยงค์ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดประวัติศาสตร์เข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 16 ที่นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี พ.ศ.2499 นับเป็นนักกีฬาคนแรกที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานทุนส่วนพระองค์ ให้เดินทางไปศึกษาวิชาการพลศึกษาชั้นสูง ณ สปอร์ตซูเล่ เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนีตะวันตก
ภายหลังเหตุการณ์สำคัญบนหน้าประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลไทยคือ ทีมชาติไทยผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายกีฬาโอลิมปิกเกมส์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่นครเมลเบิร์น เมื่อ พ.ศ.2499 แต่ครั้งนั้นทีมชาติไทยปราชัยต่อสหราชอาณาจักร 0-9 ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย และยังเป็นการเสียประตูมากที่สุด
ทำให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงส่ง สำรวย ไชยยงค์ และ ฉัตร หรั่งฉายา เดินทางไปศึกษาหลักสูตรผู้ฝึกสอนฟุตบอลระยะสั้น 3 สัปดาห์ โดยความช่วยเหลือของสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งประเทศเยอรมนี เมื่อปี พ.ศ.2505
หลังจากนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนส่วนพระองค์แก่นายสำรวยให้เดินทางไปศึกษาต่อวิชาการพลศึกษาชั้นสูง ณ สปอร์ตซูเล่ เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนีตะวันตก โดยเน้นเกี่ยวกับวิทยาการกีฬาฟุตบอล การจัดการ การฝึกซ้อม และแบบแผนการเล่นสมัยใหม่ เพื่อการพัฒนานักฟุตบอลไทยให้มีทักษะพื้นฐานเพิ่มมากขึ้น
ในครั้งนี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับ พล.ต.สำเริง ปัจจุบันในวัย 84 ปี ซึ่งได้นำเรื่องราวเหตุการณ์ที่ได้รับทุนพระราชทานส่วนพระองค์ และมีโอกาสถวายงานมาถ่ายทอดบอกเล่าถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่มีต่อวงการฟุตบอลไทย ซึ่งทำให้ พล.ต.สำเริง ได้นำศาสตร์วิชาลูกหนังระดับโลกกลับมาพัฒนาวงการลูกหนังไทย
พล.ต.สำเริงเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเป็นเด็กบ้านนอกอยู่ที่ จ.ร้อยเอ็ด แต่ได้รับทุนของจังหวัดให้มาศึกษาวิชาพลศึกษาที่วิทยาการพลศึกษา จากนั้นเมื่อสำเร็จการศึกษาก็มีโอกาสได้เป็นอาจารย์สอนวิชาพลศึกษาที่วิทยาลัยการพลศึกษา ซึ่งได้สอนกีฬาให้นักเรียน โดยเฉพาะการเป็นครู และโค้ชสอนฟุตบอลที่ตัวเองรักและชื่นชอบมาตั้งแต่กำเนิดอยู่แล้ว
ในช่วงเวลาที่ พล.ต.สำเริง เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่วิทยาลัยการพลศึกษานั้นเองก็ได้รับการคัดเลือกเข้าไปสอนในโรงเรียนจิตรลดา เมื่อ พ.ศ.2505 พร้อมกับมีโอกาสได้ถวายงานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้า 4 พระองค์ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานเงินเดือนให้ แต่ พล.ต.สำเริงไม่ขอรับ เนื่องจากเป็นการทำงานเวลาราชการ และก็ได้รับเงินเดือนจากการเป็นอาจารย์อยู่แล้ว
หลังจากนั้น พล.ต.สำเริง ได้รับคัดเลือกให้เข้ามาเป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนจิตรลดา ซึ่งในช่วงเวลานั้น สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้คัดเลือกโค้ชฟุตบอล 2 คน รับทุนเดินทางไปศึกษาระยะสั้น 3 สัปดาห์ ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่ง พล.ต.สำเริง และ ฉัตร หรั่งฉายา ได้รับโอกาสเดินทางไปในครั้งนั้น
ในช่วงที่ พล.ต.สำเริง ศึกษาอยู่ที่เยอรมนีสามารถสอบได้คะแนนดี และเป็นคนไทยคนแรกที่สอบผ่านการทดสอบให้ได้ศึกษาต่อในหลักสูตรต่อไป โดยที่ เดทมาร์ การ์เมอร์ ปรมาจารย์ฟุตบอลระดับโลกของสปอร์ตซูเล่ เห็นหน่วยก้านว่ามีทักษะความสามารถ และอยากให้ศึกษาต่อ แต่ปัญหาในตอนนั้นคือไม่มีทุนการศึกษา
เมื่อความทรงทราบถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนส่วนพระองค์ให้ พล.ต.สำเริง ศึกษาต่อที่สปอร์ตซูเล่ จนสำเร็จหลักสูตรผู้ฝึกสอนฟุตบอลอาชีพชั้นสูง และกลายเป็นศิษย์เอกของ เดทมาร์ การ์เมอร์ จนถึงขั้นที่เยอรมนีต้องการจ้างให้เป็นอาจารย์สอนฟุตบอลเยาวชน พร้อมกับเตรียมจะมอบสัญชาติให้ด้วย
“ความรู้สึกตอนได้รับทุนพระราชทานก็ดีใจมาก อะไรที่ได้จากพระองค์ท่านเป็นสิ่งที่ทำให้ผมดีใจอยู่แล้ว ทำให้ช่วงเรียนที่เยอรมนีผมตั้งอกตั้งใจ มุ่งมั่นทุ่มเทกับทุกสิ่งทุกอย่างในช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่น และพยายามทำให้ดีที่สุดจนสอบได้ที่ 1 เพราะผมคิดว่าการได้รับทุนพระราชทานจะหาอะไรมาเปรียบมิได้ และทำให้ผมภูมิใจมาก ด้วยความรักในฟุตบอลพยายามศึกษาวิชาอย่างเต็มที่ทั้งด้านฟุตบอล และภาษาเยอรมัน”
พล.ต.สำเริงเล่าให้ฟังต่อว่า เดทมาร์ การ์เมอร์ พยายามถ่ายทอดวิชาฟุตบอลให้ทั้งหมด เพราะเห็นว่ามีหน่วยก้านดี และมีความเก่ง ซึ่งหลังจากนั้น เดทมาร์ การ์เมอร์ ได้เดินทางมาอบรมฟุตบอลที่ประเทศไทย และในภูมิภาคอาเซียนด้วย ซึ่งถือเป็นประโยชน์อย่างมากต่อวงการฟุตบอลไทย โดยทางเยอรมนีเองก็อยากจ้างให้สอนเด็กเยอรมนีเลย แต่ต้องการนำวิชาความรู้ที่ได้ทั้งหมดกลับมาพัฒนาประเทศไทย
“ตอนนั้นผมได้ทักษะฟุตบอลสมัยใหม่หลายอย่าง ทั้งการครองบอล การจับบอล และเทคนิคต่างๆ อีกทั้งเขาอยากจ้างให้ผมสอนที่นั่น แต่ผมไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้ เพราะจะต้องนำความรู้ที่ได้รับจากทุนพระราชทานส่วนพระองค์กลับมาทำเพื่อประเทศไทย ซึ่งเป็นความตั้งใจจริงของผมอยู่แล้ว พอผมจบหลักสูตรก็เดินทางกลับมาถ่ายทอดวิชาในประเทศไทย”
เมื่อเดินทางกลับยังประเทศไทย พล.ต.สำเริง นำความรู้มาถ่ายทอดให้เยาวชนไทย และได้ถวายงานสอนทักษะฟุตบอลแด่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เมื่อขณะทรงเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ ทรงศึกษาอยู่ที่โรงเรียนจิตรลดา โดยทรงมีพระปรีชาสามารถจนได้รับพระสมญาว่า “เจ้าฟ้าดาราลูกหนัง”
เวลาต่อมา พล.ต.สำเริง ได้เป็นผู้ฝึกสอนสโมสรธนาคารกรุงเทพ ชนะเลิศถ้วย ข 1 สมัย และถ้วย ก 2 สมัย รวมทั้งเป็นโค้ชเยาวชนทีมชาติไทย จากนั้นได้นำเยาวชนมาฝึกซ้อมฟุตบอลบริเวณด้านข้างสนามศุภชลาศัย ก่อนย้ายไปฝึกซ้อมที่บริเวณสวนพุดตาน ถนนราชวิถี ใกล้กับโรงเรียนจิตรลดา และได้รวบรวมนักฟุตบอลก่อตั้งเป็น สโมสรราชวิถี เมื่อ พ.ศ.2511
สโมสรราชวิถีได้รับฉายาว่า “สโมสรชาววัง” เป็นทีมที่เล่นแบบโททัลฟุตบอลคือ ผู้เล่นสามารถสลับตำแหน่งกันเล่นได้ตลอด 90 นาที โดยราชวิถีประสบความสำเร็จชนะเลิศรายการสำคัญ ทั้งฟุตบอลเยาวชนชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย 6 สมัย และฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานถ้วย ก 4 สมัย และฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานควีนส์คัพ 1 สมัย จนทำให้ พล.ต.สำเริง ถือเป็นหนึ่งในปรมาจารย์แห่งวงการลูกหนังไทย
พล.ต.สำเริงมีพี่น้องรวม 6 คน โดย “ไชยยงค์” เป็นตระกูลแรกสุดที่ติดทีมชาติไทยมากที่สุดทั้ง 6 คนคือ พล.ต.สำเริง ตำแหน่งกองหน้า ติดทีมชาติ พ.ศ.2499-2506, สนอง กองหลัง พ.ศ.2508-2515, สุพจน์ กองหลัง พ.ศ.2509-2511, สุพัฒน์ กองหลัง พ.ศ.2512-2514, สนุก กองกลาง พ.ศ.2513-2514 และเสนอ กองกลาง พ.ศ.2512-2513 ด้านชีวิตครอบครัว พล.ต.สำเริง สมรสกับ คุณหญิงเพ็ญศรี ไชยยงค์ และเคียงข้างกันนานกว่า 60 ปีแล้ว โดยมีบุตรสาว 2 คน
นอกจากนี้ พล.ต.สำเริง ยังเข้ารับราชการทหาร สังกัดกรมราชองครักษ์ และได้ถวายงานตามเสด็จ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อครั้งที่ทรงเสด็จประพาสประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเวลาต่อมาด้วย รวมทั้งได้ตามเสด็จรัชกาลที่ 10 ขณะทรงเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อครั้งทรงเสด็จศึกษาวิชาด้านการทหารที่ประเทศออสเตรเลียด้วย ซึ่งนับว่า พล.ต.สำเริง มีโอกาสได้ถวายงานพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์มาอย่างยาวนานกว่า 55 ปี
ปรมาจารย์ลูกหนังไทยเล่าถึงเหตุการณ์ช่วงหนึ่งว่าอยากจะลาออกจากการเป็นข้าราชการทหาร เพื่อมาทำงานด้านฟุตบอลอย่างเต็มตัว จึงได้หาโอกาสรอเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดย พล.ต.สำเริง ได้กราบพระบาท ก่อนบอกว่า อยากจะลาออกจากทหาร เพื่อมาทำฟุตบอลเต็มตัว
“ผมหาโอกาสเข้าเฝ้าฯเพื่อจะกราบเรียนว่าอยากจะลาออกเพื่อมาทำฟุตบอล แต่พระองค์ท่านรับสั่งว่าให้เวลาเพื่อให้คิดดีๆ 3 วัน แต่พอยังไม่ถึง 3 วัน พระองค์ท่านเสด็จฯมาที่ตึกทำงานผม และรับสั่งว่า ไม่ต้องลาออก ให้เอาเวลาว่างจากการเป็นทหารในช่วงเย็นไปดูแลฟุตบอล ซึ่งหลังจากนั้นในช่วงเย็นผมก็นำนักฟุตบอลมาฝึกซ้อมกันตามที่พระองค์ท่านรับสั่ง ซึ่งนับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างมากสำหรับตัวผมเองที่มีความรักในฟุตบอล”
แม้ว่าปัจจุบัน พล.ต.สำเริงอาจจะไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับวงการฟุตบอลไทยในขณะนี้ มากนัก แต่ยังติดตามอยู่ โดย พล.ต.สำเริงได้ฝากข้อคิดถึงวงการฟุตบอลไทยในรุ่นหลังว่าจะต้องมีวินัยเป็นสำคัญ เพราะฟุตบอลเป็นกีฬาที่ต้องทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจ ซึ่งจะต้องมีวินัยเป็นสำคัญที่สุด เพราะคำว่าวินัยได้คลอบคลุมไปถึงด้านต่างๆ อีกมากมาย
“ทุกวันนี้ผมมีทุกอย่างเพราะพระองค์ท่าน เนื่องจากเมื่อก่อนเป็นเด็กบ้านนอกธรรมดา และไม่คาดคิดว่าจะได้รับทุนพระราชทาน ซึ่งทั้งหมดนี้ทั้งการได้รับทุนพระราชทานส่วนพระองค์ และความรักในฟุตบอลได้สอนให้ผมเป็นคนที่มีความอดทน มีความซื่อสัตย์ แม้จะเป็นคนจน แต่ก็ไม่โลภมากมักมาก จนชีวิตดำเนินมาได้จนถึงทุกวันนี้ และภูมิใจเป็นอย่างมากที่มีโอกาสได้ถวายงานพระองค์ท่านมาอย่างยาวนาน”
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่ พล.ต.สำเริง ไชยยงค์ ได้รับทุนพระราชทานส่วนพระองค์ในครั้งนั้น ซึ่งเป็นโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตของอดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย และยังนับเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่มีส่วนช่วยพัฒนาวงการฟุตบอลไทยให้เจริญก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบันนี้
ทั้งนี้ พล.ต.สำเริง ไชยยงค์ เสียชีวิตอย่างสงบ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2562 ด้วยอายุ 86 ปี ท่ามกลางความอาลัยรักของคนวงการฟุตบอลไทย