มีบทสรุปมาอย่างยาวนานแล้วว่า หาก”การเมือง”ถูกต้องย่อมกุมโอกาส ย่อมเป็น “หลักประกัน”
รุกที่ไหน ชนะที่นั่น
คำว่า “รู้เขา รู้เรา รบ 100 ครั้ง ชนะ 100 ครั้ง”ของท่านซุนวูก็มาจากฐานความเชื่อนี้
เหมือนกับการตัดสินใจ “บุก” วัดพระธรรมกาย
หากดูจากท่าทีระดับ “หัวแถว” อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
มากด้วย “ความมั่นใจ”
จึงไม่แปลกที่ระดับ “กลางแถว”อย่าง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อย่าง พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล
จะมาด้วย “ความมั่นใจ”
เห็นได้จากแถลงย้ำแล้วย้ำอีกในประเด็นว่า ทุกอย่างเป็นไปตาม “กฎหมาย” ทุกอย่างเป็นไปตามขื่อแปของบ้านเมือง
ความมั่นใจนี้เองทำให้เปิดมาตรการ “บุก”
หากเริ่มต้นจากบรรทัดฐานแห่ง “กฎหมาย” หากเริ่มต้นจากบรรทัดฐานแห่ง “คดีความ”
ข้อกล่าวหา “รับของโจร” ขึงขังอย่างยิ่ง
ข้อกล่าวหา “ฟอกเงิน” ขึงขังอย่างยิ่ง เหมือนกับความขึงขังของข้อหา “รุกป่า”
แต่ภายในความขึงขังนั้นก็มีความสลับซับซ้อน
เป็นความสลับซับซ้อนอันเกี่ยวกับ “วัด” เป็นความสลับซับ ซ้อนอันเกี่ยวกับ “พระ”
นั่นก็คือ วัด”พระธรรมกาย”
นั่นก็คือ พระซึ่งดำรงฐานานุรูปแห่งขั้น “เทพ” แม้จะพยายามเน้นในฉายา “ธัมมชโย” มากกว่า
ความเป็นจริง คือ พระเทพญาณมหามุนี
การดำรงอยู่ของ วัดพระธรรมกาย การดำรงอยู่ของ พระเทพญาณมหามุนี จึงเป็นความละเอียดอ่อน
ทำให้ “การเมือง” มากด้วย “ความซับซ้อน”
หากไม่มากด้วยความซับซ้อนไฉนปฏิบัติการตามแผน”กบิล 59″เมื่อเดือนมิถุนายน
จึง “ล้มเหลว”
หากไม่มากด้วยความซับซ้อนไฉนจึงต้องมี “คำขาด”อันเท่ากับเป็น “เส้นตาย” ครั้งแล้วครั้งเล่า
เริ่มจาก 30 พฤศจิกายน
ตามมาด้วย 2 ธันวาคม และมาลงเอย ณ จุดสุดท้าย “10 ธันวาคม”
ตรงนี้เองที่ทำให้เกิด “คำถาม” สร้าง”ความกังขา”
1 กังขาว่า “การเมือง”ที่อ้างอิงกันนั้นเป็นการเมืองอย่างถูกถ้วนมากน้อยเพียงใด
เพราะหาก 1 การเมืองไม่ถูกถ้วน การทหารก็อาจล้มเหลว