หากฟังจาก พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง หากฟังจาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล มากด้วย “ความมั่นใจ”
มั่นใจในการ”บุก”เข้า”วัด”
เมื่อบุคคลระดับ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อบุคคลระดับ รองผบ.ตร.ออกมายืนยัน
ยิ่งเสริมว่า ทุกอย่างเปี่ยมด้วย “ความพร้อม”
เราจึงได้เห็นการออกมาแถลงของ พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช รักษาการผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1
กับกำลังพล 15 กองร้อย 2,250 นาย
เราจึงได้เห็นการออกมาแถลงของ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบก.สปพ.
ถึง”หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด”
แม้ยังไม่แถลงในเรื่อง “วัน ว.”ว่าจะปฏิบัติการ”บุก”เข้าวัดพระธรรมกาย เมื่อใด
แต่ทุกคนเชื่อแล้วว่า “เช้ามืด”ของวันที่ 13 ธันวาคม
ในท่ามกลาง “ความพร้อม”จากฝ่ายดีเอสไอ ตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองเช่นนี้
สถานการณ์ด้าน”วัด”กลับ”เงียบ”
ความเงียบในที่นี้มิได้หมายความว่า ไม่มีการปิดประตู 6 ประตู คงเหลือเพียง 1 ประตู
คือ ประตู 7 ฝั่งถนนบางขัน-หนองเสือ เท่านั้น
ความเงียบในที่นี้มิได้หมายความว่า ไม่มีการนำเอาพระพุทธรูปขนาดใหญ่มาตั้ง ไม่มีการนำเอาโต๊ะหมู่บูชามาตั้ง ไม่มีการนำเอาตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่มาตั้ง
บริเวณ 6 ประตูในลักษณะ “เตรียมพร้อม”
นอกจากการยื่น”ถวายฎีกา”แล้ว แทบไม่มีการเคลื่อนไหวใดผุดโผล่มาจากภายในวัดพระธรรมกาย
ยังมีเรื่องหลายเรื่อง “ภายในวัด”ที่ยังเป็น “ความลับ”
ถามว่าทางด้านดีเอสไอ ทางด้านตำรวจ ทางด้านทหาร รู้หรือยังว่า พระเทพญาณมหามุนี อยู่ที่ไหน
เจาะจงก็คือ อยู่”กุฎิ”ใดของ “วัด”
คำถามเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะการรุกเข้าไปในวัดเมื่อเดือนมิถุนายน ก็ต้องถอยออกเพราะไม่มี “ข้อมูล”แน่ชัด
เท่ากับเดินดุ่มเข้าไปใน “ความมืด”
คำถามต่อมาก็คือ มีใครรู้บ้างว่า “คณะศิษยานุศิษย์”ที่เดินทางไปร่วม “สวดมนต์”มีจำนวนเท่าใด
ไม่เคยมี”ข้อมูล”จากดีเอสไอ ไม่เคยมี”ข้อมูล”จากตำรวจ
หากในความเป็นจริง 2 เรื่องนี้ทั้งดีเอสไอ ทั้งตำรวจไม่สามารถตอบได้
ก็อาจกลายเป็น “ปัญหา” ขึ้นมาได้
เป็นปัญหาเพราะไม่รู้ว่า “เป้าหมาย” อยู่ตรงไหนในพื้นที่ 2,000 กว่าไร่ของวัด
เป็นปัญหาเพราะไม่รู้ว่า”มวลชน”เท่าใดจะออกมา”ขวาง”