วันที่ 16 ธันวาคม 2559 เมื่อเวลา 09.00 น. ที่หน้าพระอุโบสถวัดสะแก (พระอารามหลวง) ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา พลตรีภูสิทธิ์ หล่อประเสริฐ อายุ 61 ปี พร้อมพวกประมาณ 30 คน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เช่าอาคารพาณิชย์พื้นที่วัดสะแก บริเวณริมถนนราชดำเนินและถนนสุรนารี ได้นัดรวมตัวประท้วงเจ้าอาวาสวัดสะแกกรณีการต่อสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์และความประพฤติของพระสงฆ์ ซึ่งมีนัยยะพยายามยึดผลประโยชน์เป็นของตัวเองและบริวารที่เกี่ยวข้อง โดยถือป้ายข้อความลักษณะร้องขอความเป็นธรรมและกล่าวหาเจ้าอาวาสวัดสะแกรังแก ขึ้นค่าเช่าไม่เป็นธรรม รวมทั้งพูดกล่าวหาผ่านโทรโข่ง ท่ามกลางความแตกตื่นของพระสงฆ์-สามเณรและประชาชน โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลรักษาความปลอดภัย จากนั้นพระโสภณปริยัติวิธาน เจ้าอาวาสวัดสะแก ได้มารับหนังสือร้องเรียนพร้อมกับกล่าวว่า “ได้รับหนังสือร้องเรียนแล้ว จะมอบให้คณะกรรมการวัดเป็นผู้ดำเนินการด้านกฎหมายตามขั้นตอนต่อไป” จากนั้นกลุ่มผู้ร้องเรียนได้เดินทางไปวัดบึงพระอารามหลวง เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนให้พระราชสีมาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดบึง ฐานะรักษาการเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งติดภารกิจ จึงมอบหมายให้พระครูปริยัติสีมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบึง มารับหนังสือแทน
นายวรวัฒน์ สุวรรณพงศ์ ไวยาวัจกร ผู้ทำการแทนวัดสะแก ให้สัมภาษณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงว่า เดิมสัญญาค่าเช่าอาคารพาณิชย์ด้านทิศใต้และทิศตะวันออกจำนวนทั้งสิ้น 39 คูหา ซึ่งเป็นเงินค่าบำรุงวัด 1 แสน 5 หมื่นบาท ระยะเวลา 15 ปี และค่าเช่ารายเดือนเดือนละ 500 บาท เฉลี่ยเดือนละ 1,330 บาท ได้สิ้นสุดในช่วงปลายปี 2557 ที่ผ่านมา ผู้เช่าส่วนหนึ่งได้ทยอยต่อสัญญาใหม่ ตามที่คณะกรรมการวัดสะแกมีมติเห็นควรให้ปรับค่าเช่าให้เป็นไปตามปัจจุบัน โดยอ้างอิงค่าเช่าอาคารพาณิชย์ในละแวกใกล้เคียงและต้องเป็นไปตามมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 21/2540 ปรากฏผู้เช่าส่วนหนึ่งไม่พอใจ อ้างราคาสูงเกินควร จึงได้พูดคุยเจรจาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 3 ครั้ง และได้ปรับลดลงตามที่ผู้เช่าส่วนหนึ่งร้องขอ เป็นเงินค่าบำรุงวัด 1 แสน 5 หมื่นบาท ต่อสัญญา 3 ปี และค่าเช่ารายเดือน 2 พันบาท เฉลี่ยเดือนละ 6,666 บาท คงเหลือผู้เช่า 22 รายยังไม่พอใจ ได้ร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครราชสีมาและสำนักงานพระพุทธศาสนานครราชสีมา รวมทั้งพระสังฆาธิการ ที่มีอำนาจปกครองพระสงฆ์ ตนและกรรมการวัดสะแกสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงข้อสงสัยได้ครบถ้วน พร้อมให้คำชี้แนะควรดำเนินการตามมติเถรสมาคมฯ ที่ระบุไว้ ซึ่งได้ปรับลดในอัตราที่เหมาะสมและเป็นธรรม รวมทั้งเป็นไปตามสภาวะเศรษฐกิจ
