สนช.มติเอกฉันท์ ผ่าน 3 วาระรวดร่างแก้ไขรธน.ชั่วคราว วิษณุแจงปมพระราชอำนาจ

สนช.เปิดประชุมแก้ไข รธน.ชั่วคราว 57 ผ่านฉลุย 3 วาระรวด ไม่ถึง 3 ชั่วโมง ‘บิ๊กป้อม’ชี้มีเหตุจำเป็นต้องแก้ ด้าน’วิษณุ’แจงทำตามหลักการ-ข้อสังเกต

เมื่อเวลา 10.10 น. วันที่ 13 มกราคม ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พ.ศ. …. แบบ 3 วาระรวด ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้เสนอ โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นตัวแทน ครม.ชี้แจงเหตุผลการขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) ต่อที่ประชุม สนช. โดย พล.อ.ประวิตรชี้แจงว่า ครม.และ คสช.มีมติเห็นควรให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 ในบางประเด็น เนื่องจากมีเหตุจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการแก้ไขในบางประการ

ด้านนายวิษณุชี้แจงว่า การแก้ไขครั้งนี้มีหลักการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 ใน 2 ประเด็นคือ 1.การเพิ่มข้อความใหม่ในวรรคสาม ของมาตรา 2 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว เกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในบางกรณี 2.การแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 39/1 วรรคสิบเอ็ด เกี่ยวกับการให้อำนาจนายกรัฐมนตรีขอพระราชทานนำร่างรัฐธรรมนูญที่ทูลเกล้าฯกลับมาปรับปรุงแก้ไขในบางประเด็นอีกครั้งหนึ่ง และนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายใหม่ภายในเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ นายกฯได้นำร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ ขึ้นทูลเกล้าฯวันที่ 8 พ.ย.59 โดยอยู่ระหว่างในพระราชอำนาจที่ทรงพิจารณา ภายใน 90 วัน แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว สำนักราชเลขาธิการแจ้งมายังรัฐบาลว่า มีข้อสังเกตบางประการ สมควรที่รัฐบาลจะรับไปดำเนินการ

Advertisement

“เมื่อรัฐบาลพิจารณาข้อสังเกตร่วมกับ คสช.แล้ว เห็นเป็นข้อสังเกตที่สมควรจะดำเนินการในขณะนี้ หากผัดผ่อนรอดำเนินการ ให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้วค่อยแก้ไข แม้กลไกทางกฎหมายจะทำได้ แต่จะเกิดปัญหายุ่งยาก เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญกลายเป็นกฎหมายแล้ว การแก้ไขเพิ่มเติมบางข้อความ บางมาตรา หรือบางหมวด จะต้องนำไปให้ประชาชนออกเสียงประชามติ จะเป็นภาระผูกพันต่อไปอีกยืดยาว และกระทบต่อเรื่องอื่นๆ ตามมาหลายเรื่อง แต่หากสามารถปรับปรุงแก้ไขให้เสร็จสิ้นขณะนี้ และนำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงพิจารณาใหม่ น่าจะเป็นการชอบด้วยวิธีปฏิบัติทั้งปวง จะเป็นการเหมาะสม ไม่เกิดความยุ่งยากขึ้น” รองนายกฯกล่าว

นายวิษณุกล่าวว่า ส่วนที่จะมีผู้นึกว่าร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติแล้ว การจะขอรับพระราชทานกลับมาแก้ไขจะชอบด้วยเหตุผลประการใด ขอเรียนว่า เมื่อรัฐบาลนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯแล้ว จะอยู่ในพระราชอำนาจ ในฐานะองค์พระประมุขที่จะทรงลงพระปรมาภิไธยรัฐธรรมนูญ และเป็นที่ทราบทั่วไปว่า ร่างรัฐธรรมนูญหรือร่าง พ.ร.บ.ใดที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่ทรงพิจารณา หากไม่ทรงเห็นชอบด้วย ก็พระราชทานกลับคืนทั้งฉบับ ดังที่เกิดมาแล้วในอดีต เช่น สมัยรัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 9 โดยไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐสภาที่จะดำเนินการต่อไปอย่างไร ดังนั้น รัฐบาลและ คสช.จึงเห็นควรทำในบัดนี้ให้ถูกต้องและถูกกฎหมาย โดยถือว่าทั้งหมดอยู่ในชั้นการใช้พระราชอำนาจ คือ การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี 2557 ให้นายกฯขอพระราชทานนำกลับคืนมาแก้ไข เพื่อให้เกิดความชอบธรรมที่จะขอกลับมาปรับปรุงแก้ไข ที่จะต้องมีขั้นตอนรอบคอบรัดกุม

จากนั้นสมาชิก สนช.ได้อภิปรายสนับสนุนหลักการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี 2557 และลงมติรับหลักการวาระแรก โดยการขานชื่อเป็นรายบุคคลด้วยคะแนน 229 งดออกเสียง 3

Advertisement

ต่อมาที่ประชุม สนช.ตั้งกรรมาธิการเต็มสภา เพื่อพิจารณาเรียงตามมาตรา ในวาระ 2 ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 4 มาตรา ตามร่างที่ ครม.และ คสช.เสนอมา โดยนายวิษณุแจ้งว่า ครม.และ คสช.ขอปรับปรุงถ้อยคำในมาตรา 3 ให้เกิดความชัดเจนขึ้น จากเดิมระบุว่า “ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง” เป็น “ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง และเมื่อกรณีเป็นไปตามมาตรานี้แล้ว มิให้นำความในมาตรา 18 มาตรา 19 และมาตรา 20 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาใช้บังคับ”

ขณะเดียวกัน นายวิษณุยังแจ้งต่อที่ประชุม สนช.ว่า ครม.และ คสช.ขอปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำในมาตรา 4 เพื่อให้เกิดความชัดเจนและปฏิบัติได้จริง โดยเพิ่มถ้อยคำจากเดิมที่ระบุว่า “ให้สามารถแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านการออกเสียงทำประชามติตามข้อสังเกตที่พระมหากษัตริย์พระราชทาน” เป็น “ให้สามารถแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านการออกเสียงทำประชามติตามข้อสังเกตที่พระมหากษัตริย์พระราชทานและประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกันได้”

จากนั้นที่ประชุม สนช.ลงมติในวาระ 3 ด้วยการขานชื่อรายบุคคล เห็นชอบคะแนน 228 ต่อ 0 งดออกเสียง 3 เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป และปิดประชุมในเวลา 12.50 น. ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 40 นาที

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image