แมนฯ ยูไนเต็ด เร่งเครื่องกลับมาได้ ล่าสุดชนะ 9 นัดรวดรวมทุกถ้วย อันดับบอลลีกอยู่ที่ 6 ห่างท็อปโฟร์ แค่ 3 แต้ม
แต่ 3 แต้มนี้ ดูเหมือนน้อย ความจริงดันไม่น้อย เพราะบรรดาทีมหัวตารางเล่นกันค่อนข้างสม่ำเสมอ แพ้ยาก โอกาสที่ปีศาจแดงจะแทรกกลับเข้า 4 อันดับแรกจึงยากเย็นอยู่พอสมควร
น่าเสียดายที่แมนฯ ยู ทำแต้มหายไปมากในช่วงเดือนตุลา-พฤศจิกา ตอนนี้เลยต้องมาไล่เอาคืนกันเหนื่อย
ยูไนเต็ดจำเป็นต้องเอาชนะพวกทีมใหญ่ให้ได้มากที่สุด เพื่อดึงแต้มกลับมา…เริ่มจากวันอาทิตย์นี้ในเกมเจอ ลิเวอร์พูล
ถ้าปีศาจแดงหวังไป แชมเปี้ยนส์ลีก ต้องชนะสถานเดียว!
โจเซ่ มูรินโญ่ รู้ความสำคัญของนัดนี้เป็นอย่างดี ออกมาพูดปลุกอารมณ์ร่วมตั้งแต่ต้นสัปดาห์ เรียกร้องให้ชาวผีรวมพลัง เริ่มเกมมานักเตะต้องลุยทันที ปลุกแฟนบอลในสนามให้ช่วยกันรุมถล่ม หวังจะเปิดตัวแบบหนังแอ็กชั่น ชิงความได้เปรียบให้ได้ก่อน
ปีศาจแดงกำลังมั่นใจ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช คงหายป่วยกลับมาเป็นตัวจริง เฮนริก มาคิตาร์ยาน ยิ่งเล่นยิ่งแรง เวย์น รูนี่ย์ ถ้ายิงได้จะทำลายสถิติ เซอร์บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน กลายเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของแมนฯ ยูไนเต็ด ทันที
คิดดูแล้วกัน ถ้ารูนี่ย์ยิงประตูที่ 250 ในนัดเจอลิเวอร์พูล มันจะเพอร์เฟกต์ขนาดไหน พูดต่อๆ กันไปอีกหลายสิบปีเลยนะครับ
แรงจูงใจกับบรรยากาศ เทมาทางฝั่งผี แต่ขณะเดียวกัน ฝ่ายหงส์แดงทีมเยือนเอง ก็แพ้ไม่ได้ ถ้าหวังจะเบียดลุ้นแชมป์กับเชลซีต่อไป
ลิเวอร์พูลช่วงนี้ สภาพไม่ค่อยดี นอกจากนักเตะ ล้า ยังขาด ซาดิโอ มาเน่ ที่ไปเล่นแอฟริกัน เนชั่นส์คัพ ทำให้สปีดความเร็วในเกมรุกหายไปเยอะ กัปตันทีม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่เจ็บส้นเท้า ก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียกความฟิตกลับมาได้แค่ไหน
หงส์แดงเพิ่งแพ้ เซาแธมป์ตัน 1-0 ในลีกคัพรอบรองฯ นัดแรก และแพ้แบบ สมควรแพ้ เล่นช้า ไม่คม ความคึก ความดุดัน หายไปเกือบหมด
เกมบุกเยือนแมนฯ ยู กุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องกระตุ้นลูกน้องสุดขีด ลิเวอร์พูลต้องเรียกพลังกลับมา ต้องดันขึ้นไปเพรสซิ่งเหมือนที่เคยทำ ขืนปล่อยให้เจ้าบ้านเก็บบอล คุมเกมได้เมื่อไหร่ มีหวัง อ่วม แน่นอน
นี่คือเกมที่เป็น จุดเปลี่ยน ของทั้งสองทีม
ใครแพ้…ตาย!
