หากตัดกรณีอันเกี่ยวกับ “รัฐประหาร” ออกไป ถือได้ว่าแถลงล่าสุดจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
CLEAR
เพราะที่ใครๆมีปัญหากับคำว่า “MOU” นั้นเมื่อนำเอาคำว่า”ข้อตกลง” มาแทนที่
ทุกอย่างก็เริ่ม “ชัด”
“ต้องตกลงร่วมกันก่อนว่า ต้องอยู่ร่วมกันในอนาคตอย่างสันติ ต้องการแค่ให้เกิดความปรองดอง”
เมื่อนำเอาคำ “MOU” ซึ่งเป็น “ศัพท์สูง” มาใช้ เพราะเป็นศัพท์ในทางการเมืองระหว่างประเทศ คำว่า “บันทึกช่วยจำ”ก็เดินหน้ากระดานเรียง 1 เข้ามา
กลายเป็น “เรื่องใหญ่” ขึ้นมาโดยพลัน
จึงไม่แปลกที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะปฏิเสธ จึงไม่แปลก ที่ นายถาวร เสนเนียม จะต้องรีบแห่ตาม
ทั้งๆที่จริงแล้วเป็นเพียง “ข้อตกลง” เท่านั้น
รู้สึกหรือไม่ว่า คำว่า “MOU” ชวนให้นึกถึงอะไรที่ยุ่งยากยิ่งในทาง การเมือง
นึกถึงเรื่อง “กัมพูชา” นึกถึงเรื่อง”ลาว”
ที่เกิดเรื่องขัดแย้งระหว่างกัมพูชา-ไทยเด่นชัดยิ่งก็จาก MOU ในเรื่องดินแดน มิใช่หรือ
ระหว่างลาว-ไทยก็เรื่องเกาะแก่งแม่น้ำโขง
แต่สิ่งที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หยิบยกมาเสนอให้พิจารณา มิใช่เรื่องของดินแดน มิใช่เรื่องของเกาะแก่ง หรือเรียกว่า “อธิปไตย”อะไร
หากแต่เป็นเรื่องที่ทะเลาะวิวาทกัน หากแต่เป็นเรื่องที่ทำให้ภายในสังคมเกิดความไม่สงบ
ไม่สงบอย่างไร แทบไม่ต้องอธิบาย แทบไม่ต้องพรรณา
คนที่ผ่านสถานการณ์ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ย่อมรู้เป็นอย่างดี คนที่ผ่านสถานการณ์ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ย่อมรู้เป็นอย่างดี
ความหมายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ชัดเจนแจ่มแจ้งไม่มีอะไรอ้อมค้อม วกวน
“อยากอยู่ร่วมกันอย่างสงบหรือไม่”
ต้องยอมรับว่าที่คสช.ต้องออกโรงทำงานในเรื่อง”ปรองดอง”ด้วยตนเอง คือ ความจำเป็น
ด้าน 1 เท่ากับว่าสังคมไทยยัง “ไม่ปรองดอง”
แม้ว่าเป้าหมายที่ “คสช.”เข้ามาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 คือ สิ่งนี้ก็ตาม
ด้าน 1 เมื่อยัง”ไม่ปรองดอง”ก็จำเป็นต้อง “ปรองดอง”
หากถามว่าเหตุใดรัฐประหารผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้ว “คสช.”จึงยังทำไม่สำเร็จ คำตอบจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จึง “ชัด”
หากไม่สามารถแปรความยุ่งเหยิงจาก “MOU” ให้กลายเป็น”ข้อตกลง”ได้ ปัญหาก็จะยังดำรงอยู่