La La Land และ Allied “ย้อนยุค” อย่างน่าดู คนละสไตล์

La La Land และ Allied "ย้อนยุค" อย่างน่าดู คนละสไตล์

La La Land และ Allied “ย้อนยุค” อย่างน่าดู คนละสไตล์

la_la_land_ver3

ความยอดเยี่ยมของหนัง La La Land การันตีจากรางวัลการประกวดภาพยนตร์ และเสียงชื่นชมอย่างต่อเนื่องจากหลายเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ โดยล่าสุดกวาดรางวัลลูกโลกทองคำถึงเจ็ดสาขา ถือเป็นหนังที่ได้รับรางวัลมากที่สุดตั้งแต่มีการแจกรางวัลนี้มา

ถ้าความฝันของตัวละครใน La La Land เซบาสเตียน (ไรอัน กอสลิ่ง) คือการมีผับแจ๊สเป็นของตัวเอง และ มีอา (เอ็มม่า สโตน) คือการเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง ความฝันของดาเมียน ชาเซลล์ ผู้กำกับ La La Land ก็คือ ฝันอยากจะสร้างหนังมิวสิคัลยุคเก่าในรูปแบบร่วมสมัย ตั้งแต่เขายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชาเซลล์ร่วมกับเพื่อนนักศึกษาของเขา จัสติน เฮอร์วิทซ์ (ผู้ประพันธ์เพลงประกอบหนัง Whiplash และ La La Land) เขียนบทหนังและประพันธ์เพลงขึ้นมา แต่เมื่อเสนอสคริปต์ให้กับค่ายภาพยนตร์ในฐานะหนังทุนต่ำไม่เกินล้านเหรียญฯ ชาเซลล์กลับถูกสั่งให้ปรับสคริปต์ และถูกตีกลับ

การไปให้ถึงฝั่งฝันของชาเซลล์ ก็ไม่ต่างอะไรกับเซบาสเตียน และมีอา มีอุปสรรคมากมายกว่าจะไปถึงความฝัน ทั้งๆ ที่รักเพลงแจ็ส แต่ในยามที่แจ็สตกต่ำ เซบาสเตียนยอมรับงานที่ไม่ใช่แนวเพลงที่เขารักเพื่อสร้างอนาคต ในขณะที่มีอาก็ผิดหวังกับออดิชั่นครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อสร้างผลงานละครของตัวเองขึ้นมา ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ถูกเสียดสีด้วยถ้อยคำที่สร้างความเจ็บช้ำ ความรักของคนทั้งสองไปไม่รอด แต่ด้วยสายใยที่ผูกพันกัน เซบาสเตียนผลักดันให้มีอากลับไปออดิชั่นอีกครั้ง พล็อตเรื่องเดาไม่ยากว่า แล้วในที่สุดทั้งคู่ก็บรรลุถึงความฝันที่ตนไล่ล่า เพียงแต่ความฝันนั้นกลับสวนทางกับความรักของคนทั้งสอง

Advertisement

ชาเซลล์วางโปรเจ็คท์ในฝันหันไปสร้างหนัง Whiplash (2014) แทน Whiplash คว้ารางวัลออสก้าถึงสามรางวัล ส่งผลให้ชาเซลล์กลายเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่มาแรงแห่งฮอลลีวูด และเปิดโอกาสให้เขาเสนอโปรเจ็คท์ในฝันทันที La La Land ได้รับการตอบรับ นี่เป็นหนังต้นทุนต่ำ แต่กลับเป็นผลงานอมตะคลาสสิคขึ้นหิ้ง และเป็นหนึ่งในตัวเก็งรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปีนี้

La La Land เป็นหนังมิวสิคัลย้อนยุคซึ่งสร้างในยุคปัจจุบัน ที่มีเทคนิคการนำเสนอน่าสนใจมาก หยิบเอากลิ่นอายของหนังฮอลลีวูดยุคเก่า ที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างหนังเรื่องนี้ เช่น The Umbrellas of Cherbourg, Singin’ in the Rain, Top Hat มาผสมผสานกับเรื่องราวในปัจจุบันได้อย่างลงตัว เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ และมีองค์ประกอบศิลป์ในแบบวินเทจ

ทั้งไรอัน กอสลิ่ง และเอ็มม่า สโตน เป็นคู่พระนางที่เวลาแสดงด้วยกัน เคมีเข้ากันสุดๆ บทมีอา เป็นบทที่ต้องแสดงอารมณ์หลากหลาย ความรัก ความเจ็บปวด และความผิดหวังจากการออดิชั่น คนดูหลายคนคง “อิน” กับเพลง The Fools Who Dream ที่เธอร้องตอนออดิชั่นครั้งสุดท้าย เป็นการร้องสดๆ ที่ไม่ใช่การลิปซิงค์ เพื่อสื่ออารมณ์ให้สมจริง

Advertisement

ส่วนไรอัน บทแสดงอารมณ์อาจไม่หลากหลายเท่า แต่ฉากจบที่สบตามีอา ยิ้ม ก่อนเดินจากไปกันคนละทางนั้น คงทำให้ผู้ชมใจละลายไปตามๆ กัน นอกจากร้องเพลง เต้นรำแล้ว ที่ต้องยอมยกนิ้วให้คือการเล่นเปียโน ภาพการเล่นเปียโนในหนัง ไรอันแสดงเองทุกฉาก ทั้งๆ ที่ชาเซลล์วางแผนจ้างนักแสดงแทนในฉากเล่นเปียโน แต่กลับไม่จำเป็น เพราะไรอันใช้เวลาฝึกซ้อมวันละสองชั่วโมงอาทิตย์ละหกวัน ตลอดเวลาสามเดือนก่อนถ่ายทำ

La La Land เป็นหนังเพลงที่มีเพลงไพเราะ ใช้เพลงแทนการเล่าเรื่อง และสื่ออารมณ์ตัวละคร บางเพลงโชว์สกิลการเต้นรำที่น่าดู ฉากเต้นวอลซ์ของทั้งคู่ที่หอดูดาวกริฟฟิธ แสงสีสวย มีส่วนคล้ายฉากเจ้าชายเต้นรำกับซินเดอเรลล่าในการ์ตูนของวอลท์ดิสนีย์ ฉากเต้นแท็ปเพลง Lovely Night Dance ก็น่ารักมาก โชว์ความสามารถของตัวละครทั้งคู่ได้อย่างน่าชม เพลง City of Star เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ

แต่เพลงที่ผู้วิจารณ์ชอบมากกลับเป็นเพลงที่บรรเลงโดยเปียโน Mia and Sebastien’s Song เป็นเพลงที่ไพเราะติดหู และมีเกือบทุกฉากที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน

รวมทั้งในฉากสุดท้าย ที่เซบาสเตียนเล่นเพลงนี้พร้อมกับสร้างจินตนาการว่าเขาและมีอาได้อยู่ร่วมกัน เป็นฉากจบที่เจ็บปวดแต่สวยงาม ได้บางสิ่งแต่ก็ต้องเสียบางสิ่งไป

Allied-Movie-Poster

ถ้าใครชอบหนังสายลับแบบ เจมส์ บอนด์ Mission Impossible หรือแม้แต่หนังสายลับย้อนยุคแบบ The Man From U.N.C.L.E.คงจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะ Allied ไม่ใช่หนังสายลับแบบชื่อหนังภาษาไทย แต่เป็นหนังดรามาโรแมนติคที่พระเอกนางเอกเป็นสายลับ และใช้ฉากหลังของหนังเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง พร้อมทั้งตั้งคำถามให้คนดูติดตามว่า ระหว่างความรักกับหน้าที่ สิ่งไหนจะสำคัญกว่ากัน

Allied ได้นักแสดงเป็นคู่พระนางสุดหล่อ สุดสวย แบรด พิตต์ และมาริยง กอดิยาร์ นักแสดงหญิงออสการ์ยอดเยี่ยมจากหนัง La Vie En Rose (2007) ได้ผู้กำกับระดับออสการ์ โรเบิร์ต เซเม็กคิส จาก Forrest Gump (1994) และได้สตีเวน ไนท์ มือเขียนบทที่บทภาพยนตร์ เรื่อง Eastern Promises และ Dirty Pretty Things

แม็กซ์ วาแทน (แบรด พิตต์) สายลับจากหน่วยข่าวกรองฝ่ายพันธมิตรจับมือกับ มาริแอนน์ โบเซจัวร์ (มาริยง โกดิยาร์) สายลับจากขบวนการฝรั่งเศสเสรี ปลอมตัวเป็นคู่สามีภริยาที่มีเป้าหมายร่วมกันสังหารทูตเยอรมันในคาซาบลังกา ภารกิจสำเร็จ ทั้งสองตกหลุมรักกันและกัน และใช้ชีวิตคู่ร่วมกันที่อังกฤษ โดยมีพยานรักหนึ่งคน

แต่แล้วหน่วยเหนือของแม็กซ์กลับระบุว่า มาริแอนน์เป็นสายลับนาซีที่สวมรอยเข้ามาแทนมาริแอนน์ตัวจริงที่เสียชีวิตไปแล้ว แม็กซ์มีเวลา 72 ชั่วโมงที่จะรอดูว่าความจริงเป็นเช่นไร ถ้าเป็นจริงแม็กซ์จะต้องสังหารเธอด้วยตนเอง มิฉะนั้นเขาจะถูกแขวนคอให้ตายตกไปตามกัน

Allied ไม่ใช่หนังระดับตัวเก็งออสการ์ปีนี้ แต่เป็นหนังที่โปรดักชันสวยมาก ทุกอย่างในหนังค่อนข้างออกไปในสไตล์ โอลด์สกูล มีความคลาสสิคเหมือนหนังเรื่อง Casablanca นี่เป็นหนังดราม่าย้อนยุคที่เนื้อหาโบราณ ล้าสมัย แต่ก็ชวนติดตาม เล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิง ที่สำคัญตัวเอกทั้งคู่แสดงดี สีหน้าแบรด พิตต์ ทำให้คนดูสัมผัสได้ถึงความทุกข์ใจของชายที่ถูกมอบหมายให้ฆ่าภริยา จนต้องหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้เธอ และลุ้นเอาใจช่วย ในขณะที่มาริยง กอดิยาร์ เย้ายวนมีเสน่ห์ ในยามแกล้งแสดงความรักต่อสามีในที่สาธารณะ และเป็นนักฆ่าที่ปราดเปรียวฉับไวเมื่อปฏิบัติภารกิจ

เครื่องแต่งกายในหนังเรื่องนี้ก็สวยมาก และเข้ากับบุคลิกของตัวละครทั้งคู่ โดยเฉพาะชุดทุกชุดของมาริยง กอดิยาร์ เป็นแฟชั่นวินเทจแต่ดูโมเดิร์น ถูกใจผู้ชมที่เป็นสุภาพสตรี ฝีมือการออกแบบของโจแอนนา จอห์นสติน ซึ่งเคยร่วมงานกับเซเม็กคิสในหนัง Forrest Gump, Cast Away และ Back to the Future

โดยส่วนตัวคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่น่าดู อาจไม่สะใจขาหนังสายลับ แต่เป็นหนังรักโรแมนติคที่น่าจะไปพิสูจน์ว่า จริงหรือกับคำกล่าวที่ว่า “ความรักในสนามรบไม่ยั่งยืน” และที่มาริแอนน์พูดกับแม็กซ์ตามที่ปรากฏในหนังตัวอย่างว่า “I love you with all my heart” เป็นแค่คำลวงของสายลับสองหน้า หรือเป็นความรู้สึกแท้จริงในหัวใจของเธอ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image